วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป#๕๙ (วัดแก้ววิจิตร ชมพระอุโบสถสี่ชาติ เมืองปราจึนบุรี )


เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป#๕๙ (วัดแก้ววิจิตร ชมพระอุโบสถสี่ชาติ เมืองปราจึนบุรี )
สวัสดีสมาชิกทุกท่านที่ติดตามกระทู้เที่ยววัดมาตลอดและขอตอนรับสมาชิกใหม่ที่พึ่งจะเข้ามาแบบตั้งใจหรือหลงๆเข้ามา และตามธรรมเนียมปฏิบัติคือขออนุญาตผู้ดูแลห้องดอกไม้แดงทั้งสองท่านคือทั้งพี่ตะกรุดและพี่Tom วันนี้ก็เหมือนทุกๆครั้งที่มาโพสในห้องนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเรื่องราวเกี่ยวกับวัดมาฝากและกระทู้นี้ก็ล่วงมาถึง 59 วัดแล้ว วันอาทิตย์ที่ 27 มกราที่ผ่านมามีโอกาสดีที่ได้เดินทางไปปราจีนบุรีและไม่พลาดที่จะต้องมีเป้าหมายของแต่ละครั้งนั้นคือขอสักวัดหนึ่งแล้วกัน เป้าหมายแรกๆที่กำหนดก็จะเป็นวัดเก่าของแต่ละที่หรือวัดที่มีพระดังๆเป็นเป้ารองลงมา  แต่สำหรับทริปนี้มาปราจีนฯเลยตั้งเป้าไว้ที่วัดแก้วฯ โดยได้ความอนุเคราะห์เส้นทางจากน้องแต๊ป Butterfly  Boy สมาชิก Fortuner Club ชี้แนะเส้นทางแต่เสียดายที่น้องเขาติดภารกิจจึงไม่ได้เจอตัวสดๆเป็นๆ แต่ก็ขอขอบพระคุณไว้ ณ.ที่นี้ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
วัดแก้วพิจิตร เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2422 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยพระครูศิริปัญญามุนีเป็นเจ้าอาวาส วัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำปราจีนบุรีแต่น่าเสียดายที่วันที่ผมอยู่ในช่วงที่ทางวัดยังทำการบูรณะซ่อมแซมภายในวัดไม่แล้วเสร็จจึงไม่สามารถชมได้ทั่วและภาพบางภาพยังมีโครงเหล็กนั่งร้านอยู่บ้าง วัดแก้ววิจิตรนี้อยู่ในเขตหมู่ 4 ตำบลบางบริบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บนริมฝั่งขวาของแม่น้ำปราจีนบุรี ตอนที่ผมเดินทางไปจากแปดริ้วพอลงสะพานข้ามแม่น้ำปราจีนบุรีวัดจะอยู่ทางซ้ายมีพอดี โดยวัดจะอยู่ห่างจากตัวเมืองปราจีนฯ ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 2 กิโลเมตร


วัดแก้วสร้างขึ้นโดยนางประมูลโภคา หรือนางแก้ว ประสังสิต เพื่อใช้ใน การทำบุญตักบาตร ถือศีลฟังธรรมโดยมีผู้ร่วมกัน บริจาคที่ดิน แรงงานและทุนทรัพย์ ในการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างในระยะแรก ประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ กุฎี พระอุโบสถ ศาลาท่าน้ำและเรือนแพ ภายในพระอุโบสถแต่เดิมประดิษฐานรอยพระพุทธจำลอง
ครั้นเมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้อพยพครอบครัวจากเมืองพระตะบองมาอยู่ที่ปราจีนบุรี ท่านก็ได้อุปถัมภ์วัดนี้ โดยการบูรณะปฎิสังขรณ์ ตลอดจนการสร้างเสนาสนะทั้งที่สร้างขึ้นใหม่และสร้างทดแทนของเก่าเช่น ในปี พ.ศ. 2451 ได้สร้างศาลาธรรมสังเวช และเมรุเผาศพ อย่างละ 1 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2453 เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศรสร้างโรงเรียน ศาลา เมรุ จึงได้ถูกรื้อไปจนหมดสิ้น
ในปี พ.ศ. 2457 เจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้รื้อ อาคารโรงเรียน หนังสือไทยหลังเดิม แล้วสร้างโรงเรียนบาลีธรรมวินัยและหนังสือไทย เป็นอาคาร ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก โรงเรียนแห่งนี้ จัดได้ว่าเป็นโรงเรียนปริยัติธรรมแห่งแรกของจังหวัดปราจีนบุรี และภายหลัง จึงได้รับพระราชทานนาม โรงเรียนว่าโรงเรียนอภัยพิทยาคาร ในปี พ.ศ. 2461 เจ้าพระยาภูเบศรได้รื้อพระอุโบสถหลังเก่าซึ่งชำรุดแล้วสร้างพระอุโบสถ หลังใหม่ขึ้นแทนที่ พระอุโบสถหลังใหม่นี้มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะไทย จีน เขมร และตะวันตก ที่มีความงดงาม หาดูได้ยากยิ่ง




พระอุโบสถหลังนี้เป็นอาคารเครื่องก่อ ขนาด 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ หลังคามุงกระเบื้อง มีหลังคามุขประเจิด และหลังคาเฉลียงรอบ 2 ชั้น เครื่องลำยอง เป็นปูนลงรักประดับหน้าบันปูนปั้นเขียนสี มีลายปูนปั้นเป็นภาพวิมานพระอินทร์กลางลายพันธ์พฤกษา ขอบล่างของหน้าบันเป็นลายกระจังลายสาหร่ายรวงผึ้ง ด้านล่างหน้าต่างด้านนอกอาคารมีลายปูนปั้นรูปหนุมาน ส่วนบนของอาคารเขียนเป็นภาพชาวต่างชาติโดยรอบ ผนังด้านนอกทั้งด้านหน้าและหลังเป็นลายปูนปั้นรูปพระราม เสาหน้ามุขประเจิดเป็นลายปูนปั้นรูปมังกรข้างละ 1 ตัว โดยอุโบสถหลังนี้จำลองแบบมาจากวัดพระเจ้าช้างเผือก  เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา (ราชอาณาจักรกัมพูชา)  ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้พระอุโบสถเป็นหอไตร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น สร้างเชื่อมกันกับหอระฆัง หลังคาปีกนกประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ ส่วนหอระฆัง เป็นหลังคาทรงมณฑป วัดแก้วพิจิตรให้เป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ.๒๕๓๓และในปี พ.ศ.๒๕๓๕ จังหวัดปราจีนบุรีจึงได้ดำเนินการบูรณะวัดแห่งนี้อีกครั้ง โดยใช้รูปแบบวิธีการบูรณะของกรมศิลปากร

ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางอภัยทาน เป็นศิลปะกรุงรัตนโกสินทร์ ตามแบบพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๔ หล่อด้วยโลหะทองแดงมีขนาดหน้าตักกว้าง ๑ เมตร ๗ เซนติเมตรพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวายกขึ้น หันฝ่าพระหัตถ์ออกด้านนอก พระองค์วางตั้งฉากอยู่บนพระเพลา
พระหัตถ์ซ้ายวางหงายฝ่าพระหัตถ์ขึ้นอยู่บนพระเพลา พระเนตรและพระอุมาฝังด้วยอัญมณี อยู่ภายใต้ฉัตรเงิน ๕ ชั้น เป็นพระพุทธรูปที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงออกแบบและทรงประทานพระนามว่า ปางอภัยทานพระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนมนุษย์สามัญและเลียนแบบพระพุทธรูปคันธารราษฎร์ของอินเดีย พระพักตร์เป็นแบบประติมากรรมกรีกโรมัน พระเกศาหยักศกรวบเป็นมวยกลางพระเศียร   ครองจีวรเป็นริ้วแบบธรรมชาติ    พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะรูปแบบใกล้เคียงกันกับพระพุทธรูปปางขอฝน  ซึ่งเป็นแบบพระราชนิยมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่างกันตรงที่พระพุทธรูปนี้เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งเท่านั้นสาธุชนที่มานมัสการมักมาขอพร ๓ ประการ ที่ประสบความสำเร็จ คือ
พรข้อที่ ๑ ถ้าท่านเป็นผู้ใจร้อน เมื่อได้นมัสการแล้วใจจะเย็นลงสงบขึ้น 
พรข้อที่ ๒ ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีคำพูดไม่มีความหมาย พูดแล้วไม่ประทับใจผู้รับฟัง พูดแล้วเหมือนขวางหูผู้รับฟัง เมื่อได้นมัสการแล้วจะเป็นผู้ที่พูดแล้ว มีความหมายติดตรึงใจผู้รับฟัง ประทับใจผู้ร่วมสนทนา
พรข้อที่ ๓ จะล่วงเกินผู้ใดก็ตามจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว เมื่อได้นมัสการแล้วจะได้รับการให้อภัยจะไม่มีการโกรธไม่มีศัตรู


พระรัตนสุวรรณ พระพุทธรูปทองคำทรงเครื่อง ประดับอัญมณีปางมารวิชัย นอกจากหลวงพ่ออภัยทานแล้วยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือพระพุทธรูปทองคำพระรัตนสุวรรณที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พระยาอภัยภูเบศร ที่งดงามด้วยศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ (ขออภัยภาพอาจจะไม่ชัดเนื่องจากภายในศาลาที่ประดิษฐานพระรัตนสุวรรณมืด และไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องด้วยครับ)



ที่วัดแก้วพิจิตร แม้ว่าในปัจจุบันโรงเรียนอภัยพิทยาคาร จะไม่ได้ใช้เป็นโรงเรียนหอไตร จะมีตำรับตำราและคัมภีร์ที่ไร้คนอ่าน คนสนใจ ตลอดจนจำนวนพระในวัดจะลดน้อยลงไปจากเดิม แต่วัดแก้วพิจิตรยังคงเป็นแหล่งความรู้ ซึ่งอุดมไปด้วยร่องรอยทาง ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เป็นที่พึ่งทางจิตใจ และสอนจิตใจด้วยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เป็นแหล่งเผยแพร่ พระพุทธศาสนา และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดซึ่งแสดงให้เห็นการปรับตัวของวัดแก้วพิจิตรให้สอดคล้องกับกระแส การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน  ด้วยความสำคัญของวัดนี้ทางด้านศิลปกรรม ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและการเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่สำคัญของจังหวัดปราจีนบุรี กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นทะเบียน วัดนี้เป็นโบราณสถาน ของชาติ ในปี พ.ศ. 2533 และในปี พ.ศ.2535 จังหวัดปราจีนบุรีจึงได้ดำเนินการบูรณะวัดนี้อีกครั้ง โดยใช้รูปแบบวิธีการบูรณะของ กรมศิลปากร


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น