วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริปที่ # ๙๖ วัดเขาขึ้น (วัดเขานางบวช)

สวัสดีสมาชิกทุกๆท่านทุกๆท่านในการใช้พื้นที่ในการเผยแพร่เรื่องราววัดวาเหมือนทุกๆครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ในครั้งนี้เป็นภาคต่อจากทริปที่แล้วที่ผมมีโอกาสได้เดินทางร่วมกับสหายธนบุรีร่วมพิธีหล่อพระประธาน 5 องค์ ผมจะพาสมาชิกขึ้นเขาพิชิตบันได 284 เพื่อขึ้นไปชมวัดเขานางบวช (วัดเขาขึ้น) สุพรรณบุรี

  ประวัติโดยย่อยของวัดเขานางบวชตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา วัดเขานางบวชตั้งอยู่ที่ ต.นางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี อยู่ห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรีขึ้นไปทางทิศเหนือ ประมาณ 42 กิโลเมตร ปัจจุบันมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ทั้งหมด 8 รูป โดยมีเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ได้แก่ พระอธิการวีระ จกฺกวโร โดยเมื่อเราย้อนไปใน พ.ศ.2308 สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ในขณะที่พม่าตั้งค่ายล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ ชาวบ้านบางระจันได้รวมตัวกันต่อสู้กับพม่า ที่บ้านบางระจัน เมืองสิงห์บุรี ซึ่งมีผู้นำสำคัญของชาวบ้านและปรากฏชื่อ 12 ท่าน คือ พระอาจารย์ธรรมโชติ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายทองแก้ว นายดอก นายจันหนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ นายทองเหม็น ขุนสรรค์ และพันเรือง ชาวบ้านบางระจันได้ต่อสู้กับพม่า และสามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้ถึง 7 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 8 ชาวบ้านบางระจันจึงพ่ายแพ้ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ พ.ศ.2309 รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าทั้งสิ้น 5 เดือน คือตั้งแต่เดือน 4 ปลายปีระกา พ.ศ.2308 ถึงเดือน 8 ปีจอ พ.ศ.2309


ตามประวัติกล่าวว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ พระสงฆ์ผู้เป็นศูนย์รวมขวัญ และกำลังใจให้ชาวบ้านบางระจัน ในระหว่างทำสงครามกับพม่า เดิมท่านชื่อ โชติขณะบวชได้ฉายาทางพระว่า ธรรมโชติรังสี บวชครั้งแรกที่ วัดยางบ้านแสวงหา จังหวัดอ่างทอง แต่จำพรรษา ณ วัดเขาขึ้น อยู่ที่เขานางบวช สุพรรณบุรี ท่านมีความรู้ด้านวิชากสิณ ด้านวิชาอาคม ต่อมาชาวบ้านบางระจันได้อาราธณาไปพำนักอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี ด้วยเหตุที่พระอาจารย์ธรรมโชติมีวิทยาอาคมสูง จึงได้ลงอาคมกับ ผ้าประเจียด (ผ้าลงเลขยันต์ และอักขระ ถือกันว่าเป็นเครื่องรางคุ้มกันตัว ใช้ผูกต้นแขนหรือคล้องคอ นิยมทำจากผ้าดิบสีแดง ตัดเป็นผืนสามเหลี่ยม อักขระเลขยันต์ที่เขียนลงบนผืนผ้า และกำหนดว่ามีอาถรรพ์ อำนาจทางไสยศาสตร์นั้นเป็นวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด กำบังตัว คุ้มกำลัง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย ๆ อย่างรวมกัน) ตะกรุดพิสมร (เครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง) แจกจ่ายให้กับนักรบค่ายบางระจัน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ในหนังสือไทยรบพม่าว่า พระอาจารย์ธรรมโชตินั้นได้หายสาบสูญไป หรือจะมรณภาพในเวลาเสียค่ายพม่า หรือหนีรอดไปได้หาปรากฏไม่ แต่ความเชื่อของชาวจังหวัดสุพรรณบุรีว่า น่าจะมามรณภาพที่วัดเขานางบวชนี้


เหตุที่วัดนี้ได้ชื่อว่าวัดเขานางบวชนั้น มีตำนานเล่าว่า ราวปี 1826 มีหญิงชื่อชบา เป็นสนมแห่งพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย เกิดเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงออกบวชละทางโลกเข้าจำพรรษารักษาศีลอยู่ในถ้ำบนยอดเขาแห่งนี้ คนทั้งหลายจึงเรียกเขาแห่งนี้ว่า เขานางบวช” (ถ้ำอยู่ด้านหลังศาลา) ปัจจุบันปากถ้ำทรุดไม่สามารถเข้าไปได้ เล่ากันว่าภายใจถ้ำมีข้าวของ เครื่องประดับจำนวนมาก สันนิษฐานว่าเป็นของพวกที่ติดตามนางสนมชบา แต่ของเหล่านั้นได้สูญหายไปเมื่อ พ.ศ.2402 และวัดแห่งนี้เคยกลายเป็นวัดร้างในบางปีด้วย เครื่องประดับชิ้นสุดท้ายที่พบบริเวณปากถ้ำ เมื่อ พ.ศ.2539 เป็นกำไลหยกหัวพญานาค แต่ผู้พบมิได้ถวายเป็นสมบัติวัด
วัดเขาขึ้นหรือ วัดเขานางบวชอยู่ห่างจากตัวจังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 51 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 340 กิโลเมตรที่ 138-139 เมื่อเข้าไปถึงบริเวณวัดจะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่ ที่มีจุดจำหน่ายอาหารปลา หารายได้ทำนุบำรุงวัด เลยจากศาลาพระอาจารย์ธรรมโชติจำลอง มีทางลาดยางขึ้นไปบนยอดเขานางบวช ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด หรือจะเดินขึ้นบันได 284 ขั้น ไปจนถึงยอดเขาก็ได้
ภายในบริเวณวัดเขานางบวชมีสถานที่สำคัญ เพื่อให้ประชาชนได้เยี่ยมชม และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนี้ คือ อุโบสถพระอาจารย์ธรรมโชติ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก รัชกาลที่ 5 มีรับสั่งให้บูรณปฏิสังขรณ์ เปลี่ยนหลังคาจากมุงแฝก เป็นมุงกระเบื้อง ภายในมีเสาขนาดใหญ่ ข้างละ 4 เสา ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทราย รวม 13 องค์ ล้วนแต่ถูกคนร้ายตัดเศียรไปหมดแล้ว ได้บูรณะสร้างเศียรขึ้นมาใหม่โบสถ์หลังนี้ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แปลกกว่าโบสถ์ทั่วไป คือมีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว และไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว สมัยโบราณเรียกกันว่า โบสถ์มหาอุตม์ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นเสมาธรรมจักร หินสีเขียวขนาดใหญ่ 5 แผ่น สูง 37 นิ้ว กว้าง 22 นิ้ว ไม่มีลวดลายใด ๆ ทั้งสิ้น ถัดจากเสมาธรรมจักรมีหินวางเป็นแนวสันนิษฐานว่าเป็นแนวกำแพง แต่เดิมนี้ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อแก่นจันทร์ พระพุทธรูปไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยพระอาจารย์ธรรมโชติ แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการสร้างมณฑปขึ้นใหม่เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นพระอาจารย์ธรรมโชติ จึงได้ย้ายหลวงพ่อแก่นจันทร์เข้าไปประดิษฐาน ณ มณฑปใหม่ด้วย

วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ ภายในเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท มีหลุมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 นิ้ว เพื่อให้ประชาชนได้โยนเหรียญลงไปทำบุญ ในวิหารด้านหลังมีร่องรอยการเจาะผนังวิหารทะลุไปยังองค์เจดีย์ที่ก่อด้วยแผ่นหินบาง ๆ วางซ้อนเป็นรูปเจดีย์ขนาดไม่สูงมาก เจดีย์สร้างติดกับผนังวิหาร ก่อนที่ค่ายบางระจันแตก ชาวบ้านนิมนต์พระอาจารย์ธรรมโชติให้หนีไป แต่ท่านไม่หนีจนในที่สุด หัวหน้าชาวบ้านบางระจันบอกว่า มีอาจารย์คนเดียวเป็นพระ จะได้กลับมาทำศพพวกเรา ท่านถึงยอดออกจากหลังค่ายหนีไป หลังจากนั้น 3 วัน ค่ายบางระจันก็แตก พระอาจารย์ธรรมโชติ ก็นำคนมาช่วยเก็บศพทำบุญให้ หลายคนเข้าใจว่า ท่านใช้วิชากสิณชั้นสูง กลับไปวัดเขานางบวชแล้วหลบซ่อนอยู่ในอุโมงค์ใต้วิหาร เป็นอุโมงค์ที่กว้างพอจะเข้าไปอยู่ได้สัก 5 -6 คน เรื่องเหล่านี้อาจารย์ธรรมโชติท่านบันทึกไว้ทั้งหมด เพราะท่านเป็นพระที่รู้หนังสือ


ศาลาหลวงปู่ธรรมโชติ เป็นทีประดิษฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ปางห้ามสมุทร (เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองแบตั้งขึ้น ยื่นออกไปข้างหน้าเสมอพระอุระ (อก) เป็นกริยาห้าม บางแบบเป็นพระทรงเครื่อง สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น อายุประมาณ 600 – 700 ปี และรูปหล่อพระอาจารย์ธรรมโชติ ใกล้ ๆ กับศาลานั้นมีตนโพธิ์ที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้น ณ วัดเขานางบวช เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2451 ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ว่า เขานางบวชนี้ เป็นที่ราษฎรนับถือมาก มีกำหนดขึ้นไหว้พระกันในกลางเดือน 4 มาแต่หัวเมืองอื่น ๆ ก็มาก ใช้เดินทางบกทั้งนี้ คราวนี้ย่อมทำให้รู้ว่า หลังสงครามไทยพม่าสงบลงแล้ว พระอาจารย์ธรรมโชติน่าจะกลับมาจำพรรษาอยู่ที่เขานางบวชอีกจริง จนกระทั่งมรณภาพ เพราะเกียรติคุณของท่าน ประชาชนจึงศรัทธาเรื่อยมา หาไม่เช่นนั้นประชาชนจะศรัทธาด้วยอะไร ถ้าไม่มีใครคนหนึ่งคนใดเป็นหลักให้เขานับถือ เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า พระอาจารย์ธรรมโชติกลับมาวัดเขานางบวชจริง
เป็นสถานที่ทางศาสนาอีกแห่งหนึ่ง ที่มีคุณค่ามากมายทางประวัติศาสตร์ ท่านใดมีโอกาสผ่านไปยังอำเภอเดิมบางนางบวช แวะเวียนไปกราบไหว้รูปปั้นพระอาจารย์ธรรมโชติ และเพลิดเพลินกับทัศนียภาพท้องทุ่งเขียวขจีอันสวยสดงดงามบนยอดเขานางบวชนะคะ

สุดท้ายขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.watkaonangbuach.org/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น