สวัสดีสมาชิกทุกๆท่านทุกๆท่านสำหรับผมปณิธานยังคงเหมือนเดิม วันนี้มีโอกาสได้เดินทางไปอ่างทอง และเมื่อมีโอกาสความตั้งใจที่มีมานานแล้วว่าถ้าได้เดินทางมาอ่างทองต้องมาที่นี่ให้ได้ครับและที่กล่าวมาข้างต้นคือ”วัดสังกระต่าย” ที่ว่ากันว่าเป็น สถานที่ท่องเที่ยว Unseen แห่งใหม่ในจังหวัดอ่างทองนอกเหนือจากวัดป่าโมกฯ วัดขุนอินทร์ฯ วัดม่วง ที่หลายๆท่านรู้จักมักคุ้นกันดี
วัดสังกระต่าย ตั้งอยู่ที่ ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง ตัวโบสถ์เก่าแก่ที่มีต้นโพธิ์ ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมรอบโบสถ์ 4 ต้น แบบเดียวกับวัดบางกุ้งปกคลุมทั้งภายนอกและภายในโบสถ์ด้วย ลักษณะอาคารตัวโบสถ์เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนภายในโบสถ์มีทั้งหมด 3 ห้อง ภายในห้องแรกเป็นห้องที่มีประตูทางเข้ามีช่องหน้าต่างสองช่องภายในมีพระบูชาปางนาคปรก คือหลวงพ่อแก่น จะมีประตูทางด้านขวามือเพื่อเข้ามาสู่ในห้องใหญ่ที่มีชิองหน้าต่างด้านละสองช่อง ภายในประดิษฐาน 3 องค์ มีพระประธานองค์ใหญ่ 1 องค์ มีชื่อว่าหลวงพ่อวันดี และยังมีอีก 2 องค์มีขนาดย่อมเล็กลงมา คือ หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุข ส่วนห้องสุดท้ายเป็นห้องปู่โสมไกรเป็นห้องว่างเปล่าตัวโบสถ์ไม่มีหลังคาเหลืออยู่แต่มีความสงบเย็นร่มรื่น เนื่องจากอาศัยร่มเงาของต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมจนเปรียบเสมือนหลังคาโบสถ์ไปแล้ว ส่วนผนังโบสถ์ก็อยู่ในสภาพที่เก่าแก่ทรุดโทรมตามกาลเวลา และจากการถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแต่คงสภาพอยู่ได้โดยไม่พังทลายลงมาเพราะได้รับการยึดติดกันด้วยรากต้นโพธิ์ทั้ง 4 ต้น ที่ขึ้นอยู่ 4 มุม โดยมีรากได้ชอนไชยึดเกาะผนังโบสถ์ไว้ทั้งหลังอย่างแน่นหนา
ประวัติวัดสังกระต่ายจากการบอกเล่าต่อกันมาตามวิสัยของคนไทยว่ากันว่า วัดสังกระต่าย เดิมชื่อว่า "วัดสามกระต่าย" แต่ได้มีการเรียกชื่อผิดเพี้ยนกันมาเรื่อยๆเหมือนกับสถานที่หลายๆจนกลายเป็นวัดสังกระต่าย โดยมี "ทวดติ จันทนเสวี" ซึ่งเป็นพระมารดาของพระยาหัสกาลเป็นผู้สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาประมาณ 400-500 ปีมาแล้ว สมัยนั้นมี พระภิกษุสงฆ์มาจำพรรษาอยู่นาน โดยมีสภาพเป็นวัดบริเวณด้านซ้ายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาได้ถมดินกลบไปแล้ว ส่วนบริเวณ ข้างโบสถ์มีกุฏิสร้างเรียงรายอยู่หลายหลัง ต่อมาพระภิกษุสงฆ์เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นและทะเลาะกันเรื่อยมา ชาวบ้านเชื่อกันว่าสาเหตุน่า จะมาจากเรื่องของเจ้าที่ที่สิงสถิตในบริเวณวัดแรงมาก จึงทำให้พระสงฆ์ไม่สามัคคีกัน ต้องแยกย้ายกันไปคนละที่คนละทาง จนในที่สุด ชาวบ้านก็เริ่มเสื่อมศรัทธาไม่เข้ามาทำบุญ พระสงฆ์ไม่มีจำวัดกลายเป็นวัดร้าง หลังเป็นวัดร้างนานนับ 100 ปี ในละแวกหมู่บ้านได้มี การสร้างวัดขึ้นมาใหม่ชื่อว่า วัดไผ่ล้อม ชาวบ้านจึงหันไปเลื่อมใสศรัทธาและไปทำบุญที่วัดไผ่ล้อมแทน ต่อมาชาวบ้านได้มาย้ายกุฏิที่ วัดสังกระต่ายไปสร้างเป็นกุฏิใหม่ที่วัดไผ่ล้อม เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้จำวัด ทำให้วัดสังกระต่ายเหลือเพียงโบสถ์ร้างที่ถูกปกคลุม ไปด้วยต้นโพธิ์อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เมื่อก่อนวัดสังกระต่าย มีเพียงพระพุทธรูป 3 องค์ที่อยู่ข้างในคือ หลวงพ่อวันดี หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุขเท่านั้น แต่มีสภาพที่โดนตัดเศียรกองไว้กับพื้น จนต้องมีการบูรณะซ่อมแซมต่อเศียรพระไว้กับองค์พระ ส่วนหลวงพ่อแก่น ได้นำเศียรพระที่ถูกตัดมาจาก อ.วิเศษชัยชาญมาบูรณะสร้างองค์ใหม่และประดิษฐานไว้ แต่ยังมีชาวบ้านบางส่วนยังมีความเลื่อมใส ศรัทธาในตัววัดถึงแม้จะเป็นวัดร้างก็ตาม บ้านไหนมีงานบุญงานมงคลจะมากราบไหว้ที่วัดแห่งนี้ ยิ่งเป็นงานบวชก็จะแห่นาคมาเวียนรอบ โบสถ์ร้างโบราณ แห่งนี้ 3 รอบบ้าง 9 รอบบ้าง ก่อนที่จะแห่นาคไปยังวัดที่จะอุปสมบทอีกที จึงได้รับการดูแลจาก สำนักงานเทศบาล ตำบลศาลาแดงและชาวบ้านเป็นอย่างดี ส่วนพื้นที่ของวัดส่วนใหญ่ชาวบ้านได้เช่าไปเพื่อประโยชน์
หลังมีเสียงร่ำลือถึง
ความสวยงามของโบสถ์แห่งนี้ ก็เริ่มมีผู้คนสนใจมาชมโบสถ์มากขึ้น
กรมศิลปากรได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เก็บข้อมูล
เตรียมขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งใหม่อีกด้วยโดยมุ่งเน้นให้คงสภาพเป็นโบราณสถานที่มีศิลปกรรมที่สวยงามตามธรรมชาติเอาไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น