สวัสดีสหายเอ๋ย...วันนี้ขอเริ่มกระทู้ทริปเที่ยวเมืองนนทบุรี เพราะเห็นว่าใกล้กรุงเทพนิดเดียวแต่มีความสวยงามทรงคุณค่ามากมาย เลยคิดว่าเดือนนี้ทั้งเดือนขอเข้าพื้นที่นนทบุรี พื้นที่สหายผู้พี่ พี่ต้อม-บางกรวย ตั้งชื่อเป็น"เที่ยววัดเมืองนนท์" ก็คือว่าเดือนนี้จะพาเที่ยววัดแถวๆละแวกบางกรวย นนทบุรี ซึ่ง ณ พื้นถิ่นฐานแห่งนี้มีประวัติอันยาวนาน ที่เกี่ยวของกับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมาจนถึงราชธานีกรุงรัตนโกสินทร์ฯ คือกะว่าจะเริ่มต้นที่จะพาชมพระอุโบสถบนเรือหงษ์วัดชลอ ต่อด้วยชมพระอุโบสถที่มีชายคาพาไลเช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)วัดโพธิ์บางโอวันนี้จะเริ่มที่วัดชะลอกันก่อนครับ เรามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์และตำนานของวัดกันครับ
วัดชะลอ อ.บางกรวย
จ.นนทบุรี จากเอกสารหลักฐานของกรมการศาสนา วัดชลอสร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๐
ในสมัยอยุธยาตอนปลายไม่ปรากฏนามผู้สร้างแต่เดิม
คงจะสร้างมากก่อนนี้อาจเป็นสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์ช้างเผือก
แต่ยังมีสภาพที่ยังไม่เจริญมั่นคง ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ตามลำดับ
วัดนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ประมาณ พ.ศ. ๒๓๑๒ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๑๒ เมตร
ยาว ๒๒ เมตร ทางวัดเปิดโรงเรียนปริยัติธรรมเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๙ พื้นที่ตั้งวัด
เป็นที่ราบลุ่มมีคลองบางกรวย และบางกอกน้อย ผ่านทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก
ภายในวัดมีอาคารเสนาสนะต่างๆ ดังนี้ พระอุโบสถ(หลังเก่า) กว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๗ เมตร
ลักษณะทรงไทย รูปเรือสำเภาโบราณ ตัวพระอุโบสถตั้งอยู่ในเรือ
หน้าบันปั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้าและสาวก พระประธานในพระอุโบสถหน้าตักกว้าง ๓ ศอก ๙ นิ้ว สมัยตอนต้นกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้มีพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวนหลายองค์อยู่ที่วิหาร พระอุโบสถเก่าขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ และในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูนนทปัญญาวิมล (อดีตเจ้าอาวาสวัดชลอ) ได้ก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่แบบเรือสุพรรณหงส์ ( ปัจจุบันกำลังก่อสร้างยังไม่เสร็จ) ได้ขอวิสุงคามสีมาใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ แต่น่าเสียดายที่วันที่ผมไปไม่สามารถเข้าไปด้านในได้เนื่องจากพระอุโบสถเสียหายจากน้ำท่วมทางวัดยังไม่เปิดให้ชมเพราะต้องรอทำความสะอาดละบูรณะก่อน
สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดชลอ
ที่ได้จากหนังสือพิมพ์ฐานข่าว (ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔ วันที่ ๑-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐)
กล่าวว่า วัดชลอสร้างเมื่อสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ซึ่งพระองค์ทรงฝักใฝ่ในพระบวรพุทธศาสนาประกอบกับบ้านเมืองสมัยนั้นไม่มีการรบ
ชาวบ้านจึงมีเวลาว่างมาก เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลต่างก็หันมาบำรุงพระพุทธศาสนา
ศาสนวัตถุได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมาย ไม่มีการบังคับแต่ทว่าเกิดจากน้ำใจจริง
ของพวกชาวบ้าน
ดังนั้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีการสร้างวัดขึ้นมากที่สุดตามแผนที่ภูมิศาสตร์
เราสามารถพบว่าใน ๕ จังหวัดดังต่อไปนี้เป็นเขตติดต่อซึ่งกันและกันนั่นคือ อยุธยา
อ่างทอง สิงค์บุรี สุพรรณบุรี และนนทบุรี
ทุกจังหวัดที่กล่าวมาแล้วนี้ล้วนมีชื่อเสียงทางด้านสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เครื่องรางของขลังด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๐๒๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ได้ทรงเสด็จทางชลมารค มาตามลำน้ำเจ้าพระยา
ผ่านจังหวัดนนทบุรี เรื่อยมาทางคลอง ลัด ในปัจจุบันเรียกว่า คลองบางกรวย
พระองค์ทรงทอดพระเนตร ๒ ฟากคลอง (ในเวลานั้นบ้านเรือนยังไม่มีถนนเหมือนเดี๋ยวนี้)
ทรงดำริว่า ที่ตรงนี้น่าจะสร้างวัดขึ้นมาสักวัดหนึ่ง ชาวบ้านจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
บรรดาเหล่าเสนาอมาตย์น้อยใหญ่เมื่อได้ฟังต่างพากันตกใจกลัว
จึงได้ตรัสถามว่าพวกเจ้ากลัวอะไร ก็ได้ทรงรับคำกราบบังคมทูลว่า ที่ตรงนี้มีอาถรรพ์
ในอดีตกาลเคยมีเรือสำเภาจากเมืองจันทร์มาเมืองไทย
มาถึงที่ตรงนี้ได้เกิดล่มจมลงด้วยแรงพายุจัด มีเรือจมน้ำตายเป็นอันมาก
ที่บริเวณดังกล่าว ทำมาค้าขายไม่ขึ้น แถมยังก่อให้เกิดหายนะแก่บริเวณนี้
เหล่าเสนาอมาตย์พากันทูลถวายเรื่องราว ในอดีตกาลให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ทรงทราบ
แทนที่จะทรงเห็นด้วยตามเสนาอมาตย์กราบบังคมทูล พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ทรงมีรับสั่งว่าสร้างวัดเสียตรงนี้แหละดี เรื่องร้าย ๆ จะได้ไม่เกิดขึ้น
ชาวบ้านจะได้มีที่ทำกินเพิ่มขึ้นอีก
การสร้างวัดตรงที่บริเวณดังกล่าวเป็นไปอย่างยากลำบาก
มีอุปสรรคนานัปการ จนทหารที่มาช่วยกันก่อสร้างวัดถึงกับท้อถอยหมดกำลังใจ
บางคนถึงกับหนี กลับกรุงศรีอยุธยาไปเลยก็มี และในทีสุดการสร้างวัดดังกล่าวก็ได้เสร็จลงแต่เรื่องราวลึกลับ
ยังไม่จบสิ้นง่าย ๆ
เพราะในคืนนั้นได้เกิดเหตุอาเพศฝนตกหนักฟ้าผ่าลงกลางโบสถ์นับเป็นเรื่อง
น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ทรงเสี่ยงสัตยาธิษฐานกับเทพยดาฟ้าดินว่า
มาตรแม้นพระองค์มีบุญญาภินิหารจริงของให้บอกเหตุผลในการแก้เคล็ดด้วย
และในคืนนั้นเองพระองค์ได้ทรงสุบินนิมิตไปว่า
มีชายจีนชรามากราบทูลขอให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ทรงปลดปล่อยพวกตนซึ่งเป็นผีตายโหงเพราะเรือล่ม
พระองค์ได้ทรงตรัสไปว่าจะให้ทำอย่างไรขอให้บอก ชายชราจีนได้กราบบังคมทูลว่า
อยากให้พระองค์สร้างวัดที่ตรงนี้อีกแต่ทุกอย่างต้องเป็น ตามเคล็ดลับนั่น
คือสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภา หากสร้างเป็นอย่างอื่น กลัวโดนฟ้าผ่าอีกแน่นอน
เมื่อทรงตื่นจากพระบรรทม พระองค์มีความเชื่อเป็นอย่างมากว่า
ความฝันนั้นเปรียบเสมือนลาง บอกเหตุเป็นการเตือน จากวิญญาณของภูตผีปีศาจที่สิงสถิตอยู่
ณ ที่นี้ดังกล่าว ในทีสุดวัดที่มีโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภาก็ได้สร้างแล้วเสร็จในคราวนี้โดยไม่มีเหตุอาเพศใดๆ
เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
ได้ทรงพระราชทาน นามวัดดังกล่าวว่า วัดชลอ นี่คือตำนานที่มาของวัดที่ต้องคำสาป
เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา วัดชลอก็ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า
โดยตลอดเพิ่งจะมีพระภิกษุมาจำพรรษา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือรัชกาลที่ ๔ นั่นเอง
จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ได้ลำดับ รายชื่อเจ้าอาวาสวัดชะลอดังนี้
๑. หลวงพ่อเอม
๒. หลองพ่อเฉาะ
๓. หลวงพ่อเจือ
๔. หลวงพ่อยาน
๕. หลวงพ่อเผือก
๖. หลวงพ่อละออง
๗. พระมหาประเสริฐ
๘. หลวงพ่อต่วน
๙. พระมหาสมพงษ์
๑๐.พระครูนนทปัญญาวิมล
(สุเทพ ฐิตปุญโญ)
๑๑.พระครูปลัดทนงค์
ฐิตรํสี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
สำหรับพระอุโบสถหลังเก่าของวัดชลอ
แสดงเค้าว่าเป็นฝีมือเก่าถึงสมัยอยุธยา
แต่ได้รับการซ่อมแซมบูรณะจนเปลี่ยนรูปไปมากแล้ว จากประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร
กรมการศาสนา กล่าวว่าวัดนี้สร้างประมาณ พ.ศ. ๒๓๐๐ ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง
ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางวัดได้พบพระเจดีย์โลหะ
๒ องค์ บรรจุภายใต้ซากเจดีย์เก่าเหนือพระอุโบสถ
ซึ่งท่านเจ้าอาวาสได้มอบให้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติแล้ว
ลำคลองตั้งแต่วัดชลอไปบรรจบคลองบางกอกน้อย ที่หน้าวัดสวรรณคีรีหรือที่เรียกว่า
วัดขี้เหล็ก นี้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ โปรดให้ขุดเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๐
วัดชลอนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับท่านสุนทรภู่เมื่อสุนทรภู่ผ่านหน้าวัดชลอคราวไปพระประชม
ได้เขียนไว้ในนิราศพระประชมไว้ว่า
วัดชลอใครหนอชลอฉลาด
เอาอาวาสมาไว้อาศัยสงฆ์
ช่วยชลอวรรักษาว่าพี่รักทรง
ให้มาลงเรือร่วมพรมที่นอน
สุนทรภู่มีบุตรกับ นิ่ม
คนหนึ่งชื่อว่า ตาม ซึ่งอยู่มาจนถึงราชกาลที่ ๕ และเจริญรอยเป็นกวีตามบิดา
มีเพลงยาวนิราศของนายตามปรากฏอยู่ในคราวไปพระประชม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕
ตามไปกับสุนทรภู่ด้วย ซึ่งท่านได้เขียนไว้ในนิราศพระประชมว่า
เห็นคลองยามบางกรวยระทวยจิต
ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา
โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก จึงจำจากนิ่มน้องให้หม่องศรี
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก จึงจำจากนิ่มน้องให้หม่องศรี
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้
เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ ด้วยเป็นพร้าแม่ชะแง้หา
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา
เช็ดน้ำตาโซบซาบลงกราบกราน
ยิ่งตรองตรึกดึกดื่นระอื้นอั้น
จนไก่ขันเอื้อมเอกวิเวกหวาน
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกบาน เจียงจะขานหลงแลชะแง้คอย.
นาย มี
ครั้งเป็นหมื่นพรหมสมพัตสรไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณเมื่อผ่านวัดชลอไป
ก็รำพึงไว้ในนิราศสุพรรณว่า
บรรลุถึงวัดชะลอก็รอจิต ใครช่างคิดชะลอวัดไม่ขัดสน
ถ้าไม่ชลอก็จะพังลงวังวน ชลอพ้นที่จะพังจึงยั่งยืน
แต่ชลอจิตมนุษย์นี้สุดยาก เอาพรวนลากก็ไม่ไหวอย่าได้ยืน
ใครขัดขวางน้ำใจเหมือนมีไฟฟืน ทั้งแผ่นพื้นภพไตรใจเหมือนกัน
ตามตำนานที่เล่าขานกันมากล่าวว่า
"วัดชลอสร้างมาก่อน พ.ศ. ๒๐๙๑ ในสมัยอยุธยาตอนต้น
แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างและประวัติของผู้สร้าง แต่เดิมคงจะสร้างมาก่อนสมัย
พระเจ้าจักรพรรดิช้างเผือ" จากตำนานกล่าวว่าเป็นวัดเก่าแก่มาก
ความเห็นหนึ่งว่า วัดชลอ
คงสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ทั้งนี้เนื่องจากกรมศิลปากร
ได้มาวิเคราะห์อายุพระอุโบสถหลังเก่ามีอายุประมาณ ๖๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้ว ตามที่สืบต่อกันมา
วัดชลอมีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ๒ พระองค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
คือพระเจ้าอู่ทอง และพระเจ้าจักรพรรดิช้างเผือก ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์ ๒
พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง
(คงมิใช่พระเจ้าอู่ทอง สมเด็จพระบรมราชาธิบดีที่ ๑
คงเป็นพระเจ้าอู่ทองตามตำนานแถวนี้ที่หนีโรคห่ามาจากอยุธยา) เล่ากันว่า
เหล่าทหารเหล่าไพร่พลของพระเจ้าอู่ทองได้เคยมาพักรอรับการเสด็จพระเจ้าอู่ทอง
ที่วัดชลอนี้ ครั้นเมื่อเรือพระที่นั่งมาถึง ได้จัดให้ทรงประทับอยู่ ณ
สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้ง "วัดกระโจมทอง"
ในปัจจุบันนี้ซึ่งอยู่ถัดไปจากวัดชลอ ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๗๐๐ เมตร
เนื่องจากเป็นลานกว้างขวาง มีเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ ชื่อวัดกระโจมทอง
จึงได้เค้ามูลจากการสร้างกระโจม และตั้งเสาเจาะใส่ทองไว้ในเสาบริเวณที่พักไพร่พลอีกแห่งหนึ่ง
คือ ที่วัดสนาม ในปัจจุบันนี้ ซึ่งชื่อของวัดยังมีเค้าความเป็นมาอยู่บ้าง
นอกจากนี้
"คลองบางสีทอง" ซึ่งเป็นคลองเก่าแก่ยังมีอยู่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดชลอ
เล่ากันว่า ได้รับพระราชทานนามจากพระเจ้าอู่ทอง ที่ได้เสด็จผ่านมาบริเวณดังกล่าว
ประดุจหนึ่ง เป็นสีทอง เกิดขึ้นมาในบริเวณนั้น เล่ากันว่า ระยะเวลาดังกล่าว
วัดชลอมีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระเจ้าอู่ทอง ได้เสด็จมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
เนื่องจากวัดกระโจมทองในขณะนั้นยังไม่มีสภาพเป็นวัด เป็นแต่เพียงสถานที่ประทับ
ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมาเท่านั้น
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ได้ทรงรับสั่งให้ขุดคลองติดต่อกับวัดชลอ ปัจจุบันคือคลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์
(ความจริงคลองบางกอกน้อย ส่วนที่เรียกว่าคลองวัดชลอขุด ใน พ.ศ. ๒๑๐๐
สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ และคลองมหาสวัสดิ์ขุดในสมัยรัชกาลที่ ๔ เข้าใจว่าเป็นคลองบางกรวยกับคลองวัดชลอ)
ในสมัยนั้นน้ำในคลองทั้งสองแห่งไหลเชี่ยวมาก เป็นคลองสองแยก
เรือพายผ่านไปมาเกิดอุบัติเหตุทางน้ำชนกันบ่อย จึงได้เขียนป้ายบอกไว้ว่า
"ช้ารอ" จึงกลายมาเป็นชื่อวัด "ชลอ" ในปัจจุบันนี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เล่ากันว่า พระองค์ได้เคยเสด็จมาตามคลองบางกอกน้อยผ่าน "วัดไก่เตี้ย ไก่ต้อย
วัดน้อย วัดพิกุลทอง วัดชลอ..." ทั้งนี้เพราะวัดชลอ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
มีเจดีย์สวยงามสถานที่ร่มรื่น นอกจากนี้แล้วสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
(พระนางเรือล่ม) ได้เคยประพาสทางน้ำ มาจอดเรือที่วัดชลอและได้ถวาย
ธรรมาสบุษบกและธรรมาสสวด ๑ ชุด
บางกรวยเป็นชื่อตำบล
ขึ้นกับอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตั้งที่ว่าการอำเภอที่เหนือวัดชลอ
มีคลองบางกรวยแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ตรงข้ามวัดเขมาภิรตาราม
มาต่อกับคลองวัดชลอ ที่รถไฟรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์
เหนือวัดชลอคลองบางกรวยนี้ เดิมเป็นตอนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่เมื่อขุดคลองใหม่ กระแสน้ำเปลี่ยนจากแม่น้ำอ้อม
มาเดินทางหน้าวัดเฉลิมพระเกียรติ แม่น้ำจึงแคบและตื้นเขิน กลายเป็นคลองไป
เมื่อพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่มีไม่เหมือนใครและก็ในเมืองไทยนั้นมีมากมาย
หลายสิ่งดังตัวอย่างเช่น โบสถ์เรือหงษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และหลวงพ่อวัดชลอผู้ทรงอิทธิอภิญญาบารมีพิชิตโรคร้ายไซนัส
ได้อย่างเด็จขาดหลวงพ่อวัดชลอหรือ
ท่านพระครูนนทปัญญาวิมลได้เล่าถึงนิมิตเรือหงษ์ลอยมาอยู่ หน้าโบสถ์หลังเก่า
(โบสถ์ที่มีลักษณะเหมือนเรือสำเภา) ที่หลวงพ่อท่านจำพรรษาอยู่นั่นคือมูลเหต
ุที่ทำให้หลวงพ่อท่านเริ่มมีความคิดว่าอยากสร้างแต่เรือหงษ์ไว้หน้าโบสถ์
แต่เมื่อคิดถึงประโยชน์
การใช้สอยแล้วท่านคิดว่าอยากสร้างแต่เรือหงษ์ไว้อย่างเดียวเห็นทีจะสียเงินเปล่าท่านจึงคิดสร้าง
โบสถ์ให้อยู่ในเรือหงส์ซึ่งจะได้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนานานัปการ
จากนั้นท่านก็ได้ให้บรรดาลูกศิษย์ ได้ออกแบบก่อสร้าง เสร็จสิ้นในปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๕
โบสถ์เรือหงส์จึงได้ลงมือสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๒๖
จวบจนปัจจุบันนี้เรือหงส์นั้นได้สำเร็จไปแล้วแล้วประมาณ ๘๕%
ที่เหลือคือรายละเอียดเกี่ยวกับการตกแต่งเช่นการติดกระจกสี และลงรักปิดทอง เป็นต้น
บริวารของโบสถ์ได้แก่ เรืออนันตนาคราช จำนวน ๒ ลำ
เป็นที่ประดิษฐานซุ้มพัธสีมาและฝั่งลูกนิมิตลำละจำนวน ๓ ลูก
และส่วนด้านหัวของเรืออนัตนาคราชนี้เป็นรูปพญานาค ๗ เศียร
เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีการขุดสระน้ำล้อมรอบเรือทั้งสามลำ และส่วนหัวของพญานาคทั้ง
๒ ลำก็มีการพ่นน้ำด้วย ส่วนภายในตัวอุโบสถมีพระประธานที่ประดิษฐานอยู่
ท่านมีชื่อว่า หลวงพ่อดำ เป็นพระมหาสาวกซ้ายขวาของพระพุทธเจ้า
ส่วนของฝาผนังโบสถ์มีการวาดจิตรกรรมฝาผนังที่เกี่ยวกับพระพุทธประวัติ
นับได้ว่าหลวงพ่อท่าน มองถึงอนาคตอันยาวไกล เป็นเอกลักษณ์ของ
การเผยแพร่ศาสนาเพราะท่านมีความคิดว่า ต่อไปจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติ
มาเที่ยวชมหรือให้เป็นสมบัติของชาติต่อไป
ต้องขออภัยที่กระทู้นี้อาจจะน่าเบื่อไปนิดเนื่องจากเนื้อหาข้อความเยอะไปหน่อยครับเพราะที่ค้นมามันเยอะจริงๆ
ต้องขอขอบคุณข้อมูลจาก ๑๐๙ วัด
ทิ้งท้ายด้วยการเที่ยววัดแนวอินดี้หน่อยละกันครับผ่อนคลายกันซักหน่อยพอดีเดินผ่านหน้าพระอุโบสถหลังเก่าเจอมุมนี้ชอบมากๆเป็นการส่วนตัวครับทนๆดูกันหน่อย
" และขอให้ทุกท่านมีสติให้คิดเสมอว่าท่านทำอะไรลงไปไม่รอดพ้นสายตาของพระพุทธเจ้า
เพราะพระธรรมคือธรรมชาติ ท่านไม่อาจฟืนธรรมชาติได้ สวรรค์อยู่ในอก
นรกอยู่ในใจท่านเอง
"หากข้อมูลตกหล่นหรือผิดพลาดคลาดเคลื่อนต้องขออภัยมานะที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น