วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๓๗ (ชมพระพุทธรูปทองคำ วัดพะเยาว์ จ.สระบุรี)


สวัสดีทุกท่านวันนี้กลับมาทำหน้าที่พาเที่ยววัดเหมือนเดิมครับ ทริปนี้มีธุระด่วนต้องเดินทางไปสระบุรี และเป็นปกติของผมครับเห็นวัดเป็นไม่ได้เหมือนเด็กเห็นขนมครับ ทริปนี้ไปมา 3 วัดโดยได้ไกด์กิติมศักดิ์ส่วนจะเป็นใครเอาไว้เฉลยวัดสุดท้าย โดยทริปนี้ที่จะเอามานำเสนอตามลำดับเส้นทางครับวัดแรกจะเริ่มที่วัดพะเยาว์ จะพาชมพระพุทธรูปทองคำ วัดที่สองวัดอัมพวัน พาไปไหว้เกจิลุ่มน้ำป่าสักหลวงพ่อย้อย วัดที่สามวัดไก่จ้น พาชมถิ่นกำเนิดสมเด็จพระพุฒาจารย์_(โต_พฺรหฺมรํสี) มาเริ่มกันที่วัดแรกครับจะพาไปชมพระพุทธรูปทองคำ วัดพะเยาว์นี้ นับเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมากองค์หนึ่ง พระวรกายสมสัดส่วน กล่าวอย่างสามัญก็คือไม่อ้วนไม่ผอม ช่วงพระอังสากว้างดูผึ่งผายงามสง่า สมกับช่วงพระเพลา (หน้าตัก) ซึ่งกว้างรับกัน ไม่แคบดูชะลูดดังพระพุทธรูปอู่ทอง พระพักตร์กลมเรียวเข้าหากันตรงช่วงล่างเล็กน้อย พระนลาฎกว้าง พระขนงโก่งมาบรรจบกันเป็นปีกกา ที่กึ่งกลางพระนลาฎ ตรงพระนาสิกพอดี พระโอษฐ์กว้างและยิ้มเผยอเล็กน้อยพองาม พระเนตรเป็นมุกอยู่ในลักษณะลืมตา คล้ายทอดพระเตรดูคนในระยะใกล้พอสมควร เสมือนเช่นผู้อุดมด้วยเมตตาจิตต่อผู้ที่เข้าไปใกล้ชิดทั่วหน้า พระนาสิกเรียวโด่งพองาม พระเศียรประกอบด้วยพระอุณหิส (ส่วนที่เป็นกระหม่อมอยู่ตรงกลางศรีษะ) เป็นลอนสูงสมส่วน เสริมต่อด้วยพระรัศมีเปลวเพลิง อย่างที่เรียกกันว่า เปลวอุณาโลมฝีมือประณีตพอสมควร (พระรัศมีที่งามยิ่งสุดยอด ก็เห็นจะได้แก่ พระรัศมีพระพุทธชินราช เมืองพิษณุโลก ฝีมือสกุลช่างสุโขทัย ชนิดที่ไม่มีในที่ใดเสมอ) เม็ดพระศกเล็กแหลม แบบ พระศกหนามขนุนไม่มีไรพระศกดังเช่นพระพุทธรูปอู่ทอง- ลพบุรี พระศอเป็นปล้อง 3 ปล้องรับกันเป็นอันดี

ครองจีวรแนบเนื้อ ชายสังฆาฎิเบื้องหน้ายาวจรดพระนาภี ปลายเป็นแฉกแบบชายธง มิได้ทำเป็นเขี้ยวตะขาบดังเช่นพุทธศิลป์สุโขทัย แต่สังฆาฎิมีเส้นคู่ขนานตรงขอบทั้งสองข้างแล้วทำปลายตัด ตรงใกล้จะถึงรอยแฉกของส่วนปลาย ดูคล้ายผ้าสองผืนซ้อนเหลื่อมกันอยู่ ตรงปลายส่วนที่เป็นแฉกชายธงถัดลงไป ทำเป็นเส้นคั่นอยู่ 3 เส้น เข้าใจว่าอาจจะเลียนแบบรอยย่นเขี้ยวตะขาบของพระพุทธรูปสุโขทัยชั้นครูก็ได้ แต่ในที่นี้คิดแบบขึ้นมาใหม่ ให้แตกต่างกันออกไปแสดงว่าสังฆาฎิพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ทำด้วยฝีมือประณีตเหนือสกุลช่างเดียวกันโดยทั่วไป ที่มักจะทำเป็นแฉกชายธงทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีการตกแต่เพิ่มเติมใดๆส่วนสังฆาฎิด้านหลัง ทำยาวลงไปถึงเบื้องล่าง จนจรดทับเกษตร (ฐานที่ประทับนั่ง)พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ประทังนั่งในปางสมาธิ แบบขับสมาธิราบ ประทับนั่งในลักษณะที่ดูองอาจผึ่งผายสง่างามกล่าวโดยทั่วไปพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ มีพุทธลักษณะของพระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยชั้นครูมากที่สุด แต่ก็มิได้มีลักษณาการที่นุ่มนวลอ่อนโยน น่าประทับใจดังเช่นพุทธศิลป์สุโขทัย หากแฝงไว้ด้วยลักณะเข้มแข็งบึกบึน เยี่ยงพุทธศิลป์อู่ทอง ตามแบบฉบับของสกุลช่างอยุธยา


     พุทธลักษณะดังกล่าวเป็นเอกลักษณะของพุทธศิลป์สกุลช่างอยุธยาโดยแท้ข้อสังเกต พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ มีลักษณะ อมยิ้มอย่างเห็นได้ชัด พุทธลักษณะเช่นนี้จะมีปรากฏอยู่ในพระพุทธรูปสุโขทัยบริสุทธิ์ (หมวดใหญ่) ที่เป็นฝีมือช่างชั้นครูทั่วไป ไม่มีอยู่ในพระพุทธรูปสกุลช่างอยุธยา  ดังนั้น พระพุทธรูปทองคำสกุลช่างอยุธยาองค์นี้ จึงมีอิทธิพลของพุทธศิลป์สุโขทัยปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง นับเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ได้ประการหนึ่งพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ มีขนาดช่วงพระเพลา (หน้าตัก) กว้าง 110 ซม. ส่วนสูง 170 ซม.องค์พระประทับนั่งบนฐานบัวหงายซ้อนกัน 2 ชั้น แล้วมีกลีบแซมปรากฏแต่ส่วนปลายยอดสุดของกลีบบัวอีกชั้นหนึ่ง บัวแต่ละกลีบมีรูปลักษณะคล้ายกลีบบัวจริง และทุกกลีบทำเป็นเส้นยาวตามกลีบบัวซอยถี่ยิบขนาดกันเต็มพื้นที่ คล้ายกลีบบัวตามธรรมชาติของจริง นับเป็นฐานบัวที่มิได้ปรากฏมีอยู่ตามพระพุทธรูปโดยทั่วไปนับเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของพระพุทธรูปทองคำองค์นี้พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ สร้างขึ้นในปางที่ค่อนข้างจะผิดแปลกไปจากพระพุทธรูปสกุลช่างโดยทั่วไป กล่าวคือสกุลช่างไทยนั้น ไม่ว่าเชียงแสน สุโขทัย หรืออู่ทอง จะนิยมสร้างพระพุทธรูปนั่งในปางมารวิชัยทั้งสิ้นจนมีคำกล่าวกันว่า เกิดแต่ชนชาติไทยเราเป็นชาตินักรบ ต้องประสบกับการตู่อสู้กับข้าศึกศรัตรู ดุจพระพุทธองค์ทรงผจญมารอยู่เสมอ คนไทยจึงนิยมสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยกันมากที่สุด พระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัย ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นฝีมือช่างสุดยอดของความงามในกระบวนช่างไทยเราแต่โบราณนั้น แม้จะได้รับแบบอย่างมาจากพระพุทธรูปสกุลช่างลังกา ได้ช่างลังกาเป็นครู แต่การก็กลับเป็นที่ปรากฏว่าทางลังกานิยมพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพื้น พระพุทธรูปสุโขทัยมีแต่พระพุทธรูปปางมารวิชัยทั้งสิ้น ที่มีประทับนั่งปางสมาธินั้นก็มีอยู่บ้างเป็นจำนวนน้อยมาก เรื่องนี้มีคำกล่าวกันในเชิงปรัชญา ให้ข้อคิดว่าพระพุทธรูปปางมารวิชัยนั้น เป็นลักษณะของผู้ที่กำลังต่อสู้เผชิญหน้ากับศรัตรูอยู่ โดยที่การต่อสู้นั้น ยังมิได้เสร็จสิ้น แต่พระพุทธรูปปางสมาธินั้น เป็นลักษระของพระพุทธองค์ที่ผ่านพ้นการผจญมาร จนได้ชัยชนะมาเรียบร้อยแล้ว จึงอยู่ในลัษณะของผู้สงบ พบแต่สันติสุข มีจิตเกษมแล้วเป็นอันดี

ต้องขออภัยข้อมูลอาจจะมากไปหน่อย ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.saraburitourism.com/tourism/goldenbuddha-move.html

หากต้องการทราบข้อมูลมากกว่านี้อ่านต่อที่ Link ด้านบนครับ สุดท้ายนี้อยากให้ทุกท่านหันหน้าเข้าวัดกันบ้าง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้นำพระธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยให้ท่านทั้งหลายรู้เท่าทันทุกข์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น