สวัสดีทุกท่านวันนี้กลับมาทำหน้าที่พาเที่ยววัดเหมือนเดิมครับ
ทริปนี้มีธุระด่วนต้องเดินทางไปสระบุรี
และเป็นปกติของผมครับเห็นวัดเป็นไม่ได้เหมือนเด็กเห็นขนมครับ ทริปนี้ไปมา 3
วัดโดยได้ไกด์กิติมศักดิ์ส่วนจะเป็นใครเอาไว้เฉลยวัดสุดท้าย
โดยทริปนี้ที่จะเอามานำเสนอตามลำดับเส้นทางครับวัดแรกจะเริ่มที่วัดพะเยาว์
จะพาชมพระพุทธรูปทองคำ วัดที่สองวัดอัมพวัน พาไปไหว้เกจิลุ่มน้ำป่าสักหลวงพ่อย้อย
วัดที่สามวัดไก่จ้น พาชมถิ่นกำเนิดสมเด็จพระพุฒาจารย์_(โต_พฺรหฺมรํสี)
มาเริ่มกันที่วัดแรกครับจะพาไปชมพระพุทธรูปทองคำ วัดพะเยาว์นี้
นับเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมากองค์หนึ่ง พระวรกายสมสัดส่วน
กล่าวอย่างสามัญก็คือไม่อ้วนไม่ผอม ช่วงพระอังสากว้างดูผึ่งผายงามสง่า
สมกับช่วงพระเพลา (หน้าตัก) ซึ่งกว้างรับกัน ไม่แคบดูชะลูดดังพระพุทธรูปอู่ทอง
พระพักตร์กลมเรียวเข้าหากันตรงช่วงล่างเล็กน้อย พระนลาฎกว้าง
พระขนงโก่งมาบรรจบกันเป็นปีกกา ที่กึ่งกลางพระนลาฎ ตรงพระนาสิกพอดี
พระโอษฐ์กว้างและยิ้มเผยอเล็กน้อยพองาม พระเนตรเป็นมุกอยู่ในลักษณะลืมตา
คล้ายทอดพระเตรดูคนในระยะใกล้พอสมควร
เสมือนเช่นผู้อุดมด้วยเมตตาจิตต่อผู้ที่เข้าไปใกล้ชิดทั่วหน้า
พระนาสิกเรียวโด่งพองาม พระเศียรประกอบด้วยพระอุณหิส (ส่วนที่เป็นกระหม่อมอยู่ตรงกลางศรีษะ)
เป็นลอนสูงสมส่วน เสริมต่อด้วยพระรัศมีเปลวเพลิง อย่างที่เรียกกันว่า “ เปลวอุณาโลม” ฝีมือประณีตพอสมควร
(พระรัศมีที่งามยิ่งสุดยอด ก็เห็นจะได้แก่ พระรัศมีพระพุทธชินราช เมืองพิษณุโลก
ฝีมือสกุลช่างสุโขทัย ชนิดที่ไม่มีในที่ใดเสมอ) เม็ดพระศกเล็กแหลม แบบ “ พระศกหนามขนุน” ไม่มีไรพระศกดังเช่นพระพุทธรูปอู่ทอง-
ลพบุรี พระศอเป็นปล้อง 3 ปล้องรับกันเป็นอันดี
ครองจีวรแนบเนื้อ
ชายสังฆาฎิเบื้องหน้ายาวจรดพระนาภี ปลายเป็นแฉกแบบชายธง
มิได้ทำเป็นเขี้ยวตะขาบดังเช่นพุทธศิลป์สุโขทัย
แต่สังฆาฎิมีเส้นคู่ขนานตรงขอบทั้งสองข้างแล้วทำปลายตัด
ตรงใกล้จะถึงรอยแฉกของส่วนปลาย ดูคล้ายผ้าสองผืนซ้อนเหลื่อมกันอยู่
ตรงปลายส่วนที่เป็นแฉกชายธงถัดลงไป ทำเป็นเส้นคั่นอยู่ 3 เส้น
เข้าใจว่าอาจจะเลียนแบบรอยย่นเขี้ยวตะขาบของพระพุทธรูปสุโขทัยชั้นครูก็ได้
แต่ในที่นี้คิดแบบขึ้นมาใหม่ ให้แตกต่างกันออกไปแสดงว่าสังฆาฎิพระพุทธรูปทองคำองค์นี้
ทำด้วยฝีมือประณีตเหนือสกุลช่างเดียวกันโดยทั่วไป
ที่มักจะทำเป็นแฉกชายธงทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีการตกแต่เพิ่มเติมใดๆส่วนสังฆาฎิด้านหลัง
ทำยาวลงไปถึงเบื้องล่าง จนจรดทับเกษตร (ฐานที่ประทับนั่ง)พระพุทธรูปทองคำองค์นี้
ประทังนั่งในปางสมาธิ แบบขับสมาธิราบ
ประทับนั่งในลักษณะที่ดูองอาจผึ่งผายสง่างามกล่าวโดยทั่วไปพระพุทธรูปทองคำองค์นี้
มีพุทธลักษณะของพระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยชั้นครูมากที่สุด
แต่ก็มิได้มีลักษณาการที่นุ่มนวลอ่อนโยน น่าประทับใจดังเช่นพุทธศิลป์สุโขทัย
หากแฝงไว้ด้วยลักณะเข้มแข็งบึกบึน เยี่ยงพุทธศิลป์อู่ทอง
ตามแบบฉบับของสกุลช่างอยุธยา
พุทธลักษณะดังกล่าวเป็นเอกลักษณะของพุทธศิลป์สกุลช่างอยุธยาโดยแท้ข้อสังเกต
พระพุทธรูปทองคำองค์นี้ มีลักษณะ “ อมยิ้ม” อย่างเห็นได้ชัด
พุทธลักษณะเช่นนี้จะมีปรากฏอยู่ในพระพุทธรูปสุโขทัยบริสุทธิ์ (หมวดใหญ่)
ที่เป็นฝีมือช่างชั้นครูทั่วไป ไม่มีอยู่ในพระพุทธรูปสกุลช่างอยุธยา ดังนั้น พระพุทธรูปทองคำสกุลช่างอยุธยาองค์นี้
จึงมีอิทธิพลของพุทธศิลป์สุโขทัยปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง
นับเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ได้ประการหนึ่งพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ มีขนาดช่วงพระเพลา
(หน้าตัก) กว้าง 110 ซม. ส่วนสูง 170 ซม.องค์พระประทับนั่งบนฐานบัวหงายซ้อนกัน 2
ชั้น แล้วมีกลีบแซมปรากฏแต่ส่วนปลายยอดสุดของกลีบบัวอีกชั้นหนึ่ง
บัวแต่ละกลีบมีรูปลักษณะคล้ายกลีบบัวจริง
และทุกกลีบทำเป็นเส้นยาวตามกลีบบัวซอยถี่ยิบขนาดกันเต็มพื้นที่
คล้ายกลีบบัวตามธรรมชาติของจริง
นับเป็นฐานบัวที่มิได้ปรากฏมีอยู่ตามพระพุทธรูปโดยทั่วไปนับเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของพระพุทธรูปทองคำองค์นี้พระพุทธรูปทองคำองค์นี้
สร้างขึ้นในปางที่ค่อนข้างจะผิดแปลกไปจากพระพุทธรูปสกุลช่างโดยทั่วไป
กล่าวคือสกุลช่างไทยนั้น ไม่ว่าเชียงแสน สุโขทัย หรืออู่ทอง
จะนิยมสร้างพระพุทธรูปนั่งในปางมารวิชัยทั้งสิ้นจนมีคำกล่าวกันว่า
เกิดแต่ชนชาติไทยเราเป็นชาตินักรบ ต้องประสบกับการตู่อสู้กับข้าศึกศรัตรู
ดุจพระพุทธองค์ทรงผจญมารอยู่เสมอ
คนไทยจึงนิยมสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยกันมากที่สุด พระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัย
ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นฝีมือช่างสุดยอดของความงามในกระบวนช่างไทยเราแต่โบราณนั้น
แม้จะได้รับแบบอย่างมาจากพระพุทธรูปสกุลช่างลังกา ได้ช่างลังกาเป็นครู
แต่การก็กลับเป็นที่ปรากฏว่าทางลังกานิยมพระพุทธรูปปางสมาธิเป็นพื้น
พระพุทธรูปสุโขทัยมีแต่พระพุทธรูปปางมารวิชัยทั้งสิ้น
ที่มีประทับนั่งปางสมาธินั้นก็มีอยู่บ้างเป็นจำนวนน้อยมาก
เรื่องนี้มีคำกล่าวกันในเชิงปรัชญา ให้ข้อคิดว่าพระพุทธรูปปางมารวิชัยนั้น
เป็นลักษณะของผู้ที่กำลังต่อสู้เผชิญหน้ากับศรัตรูอยู่ โดยที่การต่อสู้นั้น
ยังมิได้เสร็จสิ้น แต่พระพุทธรูปปางสมาธินั้น
เป็นลักษระของพระพุทธองค์ที่ผ่านพ้นการผจญมาร จนได้ชัยชนะมาเรียบร้อยแล้ว
จึงอยู่ในลัษณะของผู้สงบ พบแต่สันติสุข มีจิตเกษมแล้วเป็นอันดี
ต้องขออภัยข้อมูลอาจจะมากไปหน่อย ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.saraburitourism.com/tourism/goldenbuddha-move.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น