วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่กระผมได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง
แต่ครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆที่มีความภาคภูมิใจในสถานที่ที่ได้ไปแต่กับครั้งนี้ที่มีความรู้สึกเสียดายหดหู่อย่างบอกไม่ถูกที่ได้ไปเห็นสภาพโบราณสถานพระตำหนักเจ้าปลุกและวัดหน้าวัวที่ถูกทิ้งให้รกร้างโดยขาดการดูแลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบแม้กระทั้งชาวบ้านละแวกวัดเองก็ทำมาหากินแต่พอเลี้ยงตัวและครอบครัว
หาชาวกินค่ำคงไม่มีกำลังและเวลามาบูรณะวัดวา
จากการสอบถามชาวบ้านละแวกนั้นได้ความว่าที่วัดหน้าวัวมีพระจำวัดดูแลวัดเพียงรูปเดียวเท่านั้น แต่ในวันที่ผมได้ไปไหว้พระไม่เห็นมีพระเลยสักรูป วัดนี้จึงกลับมาเป็นวัดร้างเหมือนในอดีตครั้งเสียกรุง ต่างกันแต่ว่าในครั้งนี้เราไม่ได้เสียกรุงให้กับใครแต่เราสูญเสียศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่า ยิ่งต้องมายืนอยู่คนเดียวท่ามกลางซากปรักหักพังในอดีตและความเสียหายของอาคารปัจจุบันภายในวัด
จากการสอบถามชาวบ้านละแวกนั้นได้ความว่าที่วัดหน้าวัวมีพระจำวัดดูแลวัดเพียงรูปเดียวเท่านั้น แต่ในวันที่ผมได้ไปไหว้พระไม่เห็นมีพระเลยสักรูป วัดนี้จึงกลับมาเป็นวัดร้างเหมือนในอดีตครั้งเสียกรุง ต่างกันแต่ว่าในครั้งนี้เราไม่ได้เสียกรุงให้กับใครแต่เราสูญเสียศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต่างหากที่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่า ยิ่งต้องมายืนอยู่คนเดียวท่ามกลางซากปรักหักพังในอดีตและความเสียหายของอาคารปัจจุบันภายในวัด
พระตำหนักเจ้าปลุก ตั้งอยู่ที่บ้านกลาง หมู่ที่ 4 ตำบลเจ้าปลุก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า วัดหน้าวัว (ร้าง) เป็นวัดร้างที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2554 ทั้งศาลาและเสนาสนะไม่ได้รับความดูแลจากทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมศิลปากรเจ้าของพื้นที่ เนื่องจากวัดหน้าวัวได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน จึงไม่สามารถปฏิสังขรณ์วัดได้ จากประวัติวัดนี้สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยต้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอาจจะพร้อม ๆ กับที่โปรดให้ปฎิสังขรณ์เมืองลพบุรีเป็นราชธานีสำรองโดยสร้างเป็นพระตำหนักประทับร้อนระหว่างทางจากพระนครศรีอยุธยากับลพบุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลพบุรี เวลาเสด็จพระราชดำเนินจากพระนครศรีอยุธยาไปเมืองลพบุรี
จากหลักฐานเอกสาร เช่น จดหมายเหตุของบาทหลวง เดอ ซัว ซีย์ และบาทหลวงตาชาร์ด ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับคณะราชทูตฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2228 กล่าวว่า ได้เดินทางจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปเมืองลพบุรี ได้พักแรมกลางทางที่เรือนรับรอง ได้เห็นหมู่พระตำหนักของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ เรือนรับรองประกอบด้วย พระตำหนักใหญ่และเล็กหลายองค์ที่สร้างขึ้นในระยะเวลาต่างกัน ทั้งเก่าและใหม่ เป็นต้น และจากพระราชนิพนธ์ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2421 ในรัชกาลที่ 5 ทรงกล่าวถึงตอนหนึ่งว่า “ถึงบ้านเจ้าปลุกที่สร้างอยู่ริมทุ่งข้างซ้ายมือราษฎรว่าเป็นวัดปราสาทแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่ามิใช่วัดเป็นปราสาทที่ประทับร้อนของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สำหรับระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเข้ามาเมืองลพบุรี” นอกจากนั้น หลักฐานจากการขุดแต่งและบูรณะของหน่วยศิลปากรที่ 1 ในปีงบประมาณ 2535 พบว่า ซากโบราณสถานก่ออิฐถือปูนดังกล่าว ที่เหลืออยู่ในขณะนี้มีทักษะทางศิลปะ สถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอย่างชัดเจน สภาพปัจจุบันมีซากโบราณสถานเป็นอาคารยกพื้นสูงก่ออิฐไม่มีเสาเป็นอาคารแบบใช้ผนังรองรับน้ำหนัก ปัจจุบันมีเพียงผนังทั้งสองด้านที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยแต่ละด้านมีช่องหน้าต่างด้านละสามช่อง ส่วนด้านหลังมีช่องหน้าต่างหนึ่งช่องตรงด้านหลังพระประธาน ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นสองด้านๆละห้าขั้น มีเหลือร่องรอยทางเข้าเป็นประตูสองบาน ด้านในมีพระประธานอยู่หนึ่งองค์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อยิ้ม ด้านนอกอาคารมีฐานอิฐสี่เหลี่ยมโดยรอบคาดว่าน่าจะเป็นฐานเสมา ส่วนด้านหน้ามีสองฐาน นอกจากนั้นด้านหน้ายังมีซากเจดีย์เก่า แล้วจึงเป็นแนวกำแพงโดยรอบตอนนี้เหลือให้เห็นเพียงฐานกำแพงติดกำพื้นดินเท่านั้น
หากมีเวลาว่างๆลองแวะไปไหว้พระขอพรหลวงพ่อยิ้มวัดหน้าวัว(เก่า)กันนะครับแต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าวัดร้างจริงๆควรหาเพื่อนไปกันหลายๆคน(เพื่อความปลอดภัยไม่ประมาทในทรัพยสิน) ถ้าไม่คิดอะไรมากบรรยากาศได้เลยครับ แต่ไม่ต้องกลัวผีนะครับ เพราะน้องหมาวัดแถวนั้นยังไม่กลัวเลยวิ่งเล่นกันสนุกสนานเลยอิ...อิ...ขำๆครับอย่าคิดอะไรมาก ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากข้อมูลจาก http://work.m-culture.in.th/album/59653
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น