วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๕ (วัดสมุหประดิษฐาราม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี )


เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๕ (วัดสมุหประดิษฐาราม อ.เสาไห้ จ.สระบุรี )
สวัสดีสมาชิกทุกท่านวันนี้มาตามสัญญากับทริปเที่ยววัดตามแนวลุ่มน้ำป่าสักหลังจากที่เคยนำเสนอไปแล้วหนึ่งวัดคือวัดเขาแก้ววรวิหารยังคงต้างอยู่อีกสองวัด วันนี้จะมานำเสนอวัดที่สองคือวัดสมุหประดิษฐ์  เป็นพระอารามหลวง  ชั้นตรี  ชนิดสามัญ  เรียกชื่อเต็มว่า  วัดสมุหประดิษฐาราม”    ตั้งอยู่เลขที่ ๒  ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม  หมู่ที่ ๗ ตำบลสวนดอกไม้  อำเภอเสาไห้  จังหวัดสระบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๓๓ ตารางวา 

     
  ประวัติของวัดนี้เท่าที่หามาได้มีอยู่ว่า  วัดสมุหประดิษฐ์ ผู้สร้างคือ เจ้าพระยานิกรบดินทร์ มหินทรมหากัลยาณมิตร (โต)ที่สมุหนายก  นามเดิม โต”  เป็นบุตรหลวงพิชัยวารี ชื่อ มัน แซ่อึ๋ง เป็นข้าหลวงเดิม ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นที่พระยาพิชัยวารี ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ เลื่อนเป็นพระยาพิชัยวารี แล้วต่อมาเป็นพระยาราชสุภาวดีและโปรดฯ ให้ว่าที่สมุหนายก ในรัชกาลที่ ๓  ครั้นรัชกาลที่ ๔ โปรดฯ ให้เป็น เจ้าพระยา ที่ สมุหนายก”  
เจ้าพระยานิกรบดินทร์ มหินทรมหากัลยาณมิตร ได้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ เพื่ออุทิศให้มารดาของท่าน เล่ากันว่า เดิมสร้างเสนาสนะขึ้น ๒ หมู่  หมู่หนึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากกำแพงแก้วประมาณ ๑๐ วาเศษ สำหรับเป็นที่อยู่ของเจ้าอาวาส มีกุฏิ ๔ หลัง หอสวดมนต์ ๑ หลัง  อีกหมู่หนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก  ห่างจากกำแพงแก้วประมาณ ๑ เส้นเศษ  มีกุฏิ ๗ หลัง ชนิด ๒ ห้อง ๖ หลัง ๓ ห้อง ๑ หลัง  แต่ได้ยุบคณะเหนือมารวมกับคณะใต้เสีย  เมื่อยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (มี) ปกครองวัด
เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว  จึงได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง  แต่จะเป็นในรัชกาลไหนไม่แน่ เพราะปรากฏว่า ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ได้เป็นที่สมุหนายกอยู่ถึง ๒ รัชกาลคาบเกี่ยวกัน คือตอนปลายรัชกาลที่ ๓ และต้นรัชกาลที่ สันนิษฐานว่าคงจะได้ถวายในรัชกาลที่ ๔  เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว  ครั้นถวายเป็นพระอารามหลวงแล้ว   จึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานนามว่า วัดสมุหประดิษฐาราม” 

ส่วนการปฏิสังขรณ์ในยุคก่อน ๆ  ไม่ทราบว่าใครได้ปฏิสังขรณ์อะไร อย่างไรบ้าง  คงจะเป็นด้วยในยุคนั้นเสนาสนะและถาวรวัตถุยังบริบูรณ์อยู่    จึงไม่ปรากฏการปฏิสังขรณ์   พึ่งมามีขึ้นในยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (ชา)  ผู้ครองวัดรูปที่ ๓  ได้จัดการสร้างกุฏิไม้หลังหนึ่ง  ยาว ๓ ห้อง  มุงกะเบื้องไทย และกุฏิชนิดเรือนแพหลังหนึ่ง  ยาว ๓ ห้อง  มุงกะเบื้องไทยเช่นเดียวกัน  กับปฏิสังขรณ์ศาลา ๒ ห้อง ๑ หลัง  สำหรับเป็นที่พักข้าราชการในเวลาถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา   ด้วยในยุคนั้นการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาสำหรับข้าราชการจังหวัดสระบุรี  มาประชุมถือที่วัดนี้ทุก ๆ ปี  แต่ได้เลิกไปประชุมถือที่อื่นนานแล้ว ต่อมาถึงยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ผู้ปกครองวัดรูปที่ ๔ พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี)  ทำการปฏิสังขรณ์ช่อฟ้า ใบระกา ฝาผนัง บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถและกำแพงแก้ว  กับเปลี่ยนพื้นชานในกำแพงแก้วซึ่งเดิมปูด้วยกะเบื้องไทย  เป็นกะเบื้องปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมแล้วย้ายกุฏิเก่า ๘ หลังมาปลูกไว้ทางทิศใต้  สร้างกุฏิไม้ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ยาว ๗ วา กว้าง ๔ วา ๒ ศอก  มีเฉลียงรอบ  ทรงเรือนไทย  พื้นชั้นเดียวหลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ และปลูกนอกชานกับปฏิสังขรณ์กุฏิ ๕ ห้องอีกหลังหนึ่ง   ศาลาการเปรียญเดิมอยู่ริมตลิ่งใกล้ลำน้ำ  ได้ย้ายมาปลูกไว้ทางทิศเหนือ  ทำเป็นมุขลด ๒ ชั้น  มีมุขยื่นออกทางด้านหน้า  มีช่อฟ้าใบระกาปั้นด้วยปูน  ใช้ไม้ของเก่าบ้าง ของใหม่บ้าง  สร้างโรงเรียนหนังสือไทย ๑ หลัง  ยาว ๗ วา ๒ ศอก  กว้าง ๔ วา ๒ ศอก  ทรงปั้นหยา  หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์  ศาลาน้ำ ๒ หลัง  หลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงซุ้มประตูบันไดนอกชานทางทิศเหนือ  อีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้ามุขพระอุโบสถทิศเหนือ   ถมสระเก่า ๒ สระ  ขุดใหม่ ๑ สระ  ยาว ๑๐ วา  กว้าง ๑๐ วา ลึก ๔ ศอกเศษ  แล้วทำรั้วไม้กั้นเขตวัด ๒ ด้าน  คือด้านตะวันตก กับด้านตะวันออก  สูง ๒ ศอกคืบ  และย้ายหอระฆังมาสร้างขึ้นใหม่ที่มุมกุฏิทางทิศพายัพ
           

การปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ได้อาศัยใช้จ่ายทรัพย์ของพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทั้งสิ้น  แต่จะเป็นจำนวนเงินมากน้อยเท่าใดไม่ปรากฏ  พอเสร็จการปฏิสังขรณ์แล้ว พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ก็ขอพระบรมราชานุญาตลาสิกขา
การปฏิสังขรณ์ต่างๆ มีข้อความในหนังสือตรวจการคณะสงฆ์สระบุรีของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  พ.ศ.๒๔๕๕ - ๒๔๖๐    บันทึกว่า พระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าภัทรายุวดี  และพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ  มีของก่อสร้างเป็นหลักฐาน  อุโบสถก่ออิฐ   ทรวดทรงงาม กุฎีมีเป็นหมู่ใหญ่  ที่เป็น ๒  ชั้นก็มี   หลังสำหรับเป็นที่อยู่เจ้าอาวาสใหญ่ถึง  ๕ ห้อง   มีโรงเรียนหนังสือไทย ก่ออิฐ ๒  ชั้น  สอนถึงมัธยม  ๔  มีเด็กนักเรียน ๑๐๐   คนเศษ  ได้อาศัยกำลังของพระเจ้าพี่นางเธอ  ๒ พระองค์  ทรงช่วยอุปถัมภ์กันต่อ ๆ มา ซึ่งพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ ทรงอุปการะอยู่ ทรงประทานค่าภัตตาหารเลี้ยงพระ ประทานค่าบำรุงครูโรงเรียน  ในบัดนี้มีพระอยู่ ๑๑  รูป  เจ้าอาวาสไม่มี  พระใบฎีกานาคเป็นผู้รั้ง  จึงทรงพระดำริจะให้พระครูโต  ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะเมืองมาอยู่ครองวัดนี้ในหนังสือตรวจการคณะสงฆ์สระบุรี  ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส   พ.ศ.๒๔๕๕  -  ๒๔๖๐  หน้า  ๓๕๐  มีข้อความบันทึกการเสด็จมาวัดสมุหประดิษฐารามไว้ว่า……….วันที่  ๒๖   มกราคม   ๒๔๕๗  เวลาจวนค่ำ เสด็จประทับเรือที่นั่งอันมาจอดคอยอยู่ที่หน้าวัด   เวลาย่ำค่ำ  ๒๐ นาที   เรือที่นั่งออกจากท่า   ล่องต่อลงไป  เวลาจวน ๑ ทุ่ม ถึงหน้าวัดสมุหประดิษฐ์  ตำบลสาวไห้    เขาปลูกประรำไว้รับเสด็จที่หาดทรายหน้าวัด  ประดับประดาด้วยผ้าขาว   ผ้าแดง   ติดธงช้างและแขวนโคมญี่ปุ่น   เรือที่นั่งเทียบท่า   พระสงฆ์ประมาณ  ๔๐  รูป ราษฎรชายหญิงราว  ๕๐๐  คอยรับเสด็จ  เสด็จขึ้นประทับ  ณ  ปะรำ    หลวงทรงศักดิ์วิเศษ   กับองุ่น  บุตรีพระยาชัยวิชิต (ช่วง)  ผู้รักษากรุง  ซึ่งพระเจ้าพี่นางเธอ  พระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ   โปรดให้ขึ้นมาจัดการรับเสด็จคอยเฝ้าอยู่  ณ  ที่นั้นด้วย   ทรงปฏิสันถารแล้ว  ทรงพระดำเนินขึ้นบนวัด   เสด็จเข้านมัสการพระในพระอุโบสถ    แล้วเสด็จกลับลงมาประทับที่ปะรำ  ประทานพระธรรมเทศนาแก่ราษฎร   ทรงแสดงอัปปมาทธรรม    อันเป็นธรรมมีอุปการมาก  ทั้งทางคดีโลกทางคดีธรรม  จบแล้วประทานด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็ก    ประทานปฏิสันถารแก่ราษฎรเหล่านั้น   เวลา  ๒  ทุ่มเศษ   เสด็จลงประทับเรือที่นั่ง    ทรงนำพระสงฆ์ผู้ตามเสด็จสวดมนต์   เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมือง  ฯ
วันที่   ๒๗   มกราคม   ๒๔๕๗  เวลาเช้า  เสด็จไปทรงรับบาตร  เสด็จกลับมาประทับศาลาการเปรียญ   พวกราษฎรจัดสำรับคาวหวานมาถวาย   ประมาณ   ๒๐๐   ราย   ทรงรับประเคนทั่วกันแล้ว  ประทานศีล   ๕  แล้วประทานพระธรรมเทศนา   ทรงแสดงกัลยาธรรม  ๕   จบแล้ว  เสวยเช้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหลาย   ครั้นเสวยและทรงอนุโมทนาเสร็จแล้ว ประทานของแจกแก่พวกชาวบ้าน ประทานด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็ก  ประทานของแจกแก่พวกกรรมการอำเภอ  กำนัน   ผู้ใหญ่บ้าน   และราษฎรผู้จัดการรับเสด็จทั่วกันแล้วเสด็จทอดพระเนตรวัด   เสด็จเข้านมัสการพระในพระอุโบสถ  ฯ
       

ครั้นถึงยุคพระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ปกครองวัด  ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะขึ้นอีก ๖ หลัง  สิ้นเงิน ๔๘๐ บาท ๗๙ สตางค์  ขยายสระน้ำของเก่าให้ยาวไปทางทิศตะวันออกอีก ๑๐ วา  สิ้นเงิน ๑,๒๗๙ บาท ๖๕ สตางค์   ในยุคนี้พระบุญได้เป็นหัวหน้าสร้างเว็จกุฏิขึ้น ๑ หลัง ๒ ห้อง สิ้นเงิน ๓๔๑ บาท ๗๐ สตางค์    พระสมุห์ลีสร้างถนน ๔ สาย  ทำเป็นถนนลาดคอนกรีต  สายที่ ๑ ยาว ๑ เส้น  ๑๓ วา ๑ ศอก   สายที่ ๒   ยาว ๑๖ วา ๒ ศอกคืบ  สายที่ ๓ ยาว ๙ วาคืบ  สายที่ ๔ ยาว ๑๐ วา  ๒ ศอก  กว้าง ๓๐ นิ้วฟุตเท่ากันทั้ง ๔ สาย     รวมทั้งหมดสิ้นเงิน  ๑,๐๓๙ บาท  ๗๐ สตางค์  พระจันทร์สร้างกุฏิไม้ ๑ หลัง  ๓ ห้อง หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์  สิ้นเงิน ๓๖๗ บาท   ต่อมาพระศีลวิสุทธิดิลก (โต)  ได้สร้างกุฏิไม้ขึ้นอีก ๑ หลัง  ยาว ๙ วา  ๒ ศอกคืบ ๙ นิ้ว  กว้าง  ๑๐ ศอก  ทรงปั้นหยา  หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ สิ้นเงิน ๑,๒๐๐ บาท  และได้สร้างครัวขึ้นหลังหนึ่ง  ยาว ๔ วา  กว้าง ๘ ศอก  มีเฉลียง ๒ ด้าน  มุงด้วยสังกะสี  สิ้นเงิน ๓๖๐ บาท    สร้างโต๊ะเก้าอี้สำหรับโรงเรียนธรรมวินัย  ๒๐๒ ชุด  สิ้นเงิน ๑,๘๓๙ บาทพ.ศ. ๒๔๗๐  พระศีลวิสุทธิดิลก (โต)  เป็นหัวหน้าชักชวนเจ้าอาวาสในท้องที่จังหวัดสระบุรี  พร้อมกับประชาชนผู้มีศรัทธา บริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียนธรรมวินัยขึ้น ๑ หลัง ยาว ๑๗ วา กว้าง ๕ วาคืบ เป็นโรงเรียน ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทรงปั้นหยา ด้านหน้ามีมุขคู่ ด้านหลังมุขเดี่ยว  หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ สิ้นเงินรวมทั้งสร้างถนนและอื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องติดต่อกับโรงเรียนด้วย ๑๙,๘๓๕  บาท
พ.ศ. ๒๔๗๒   พระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ได้ยุบกุฏิเท่าที่ชำรุดหักพังแล้ว   รวมสร้างใหม่ เสาและคานหล่อคอนกรีต  ยาว ๔ วา ๒ ศอก  กว้าง ๓ วา  ๓ ห้อง  เป็นทรงปั้นหยา  หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์  ใช้จ่ายเงินผลประโยชน์ที่ได้จากทุน ๔๐,๐๐๐ บาท  อันเป็นส่วนของพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ  ทรงอุทิศไว้สำหรับบำรุงพระอาราม  สิ้นเงิน ๒,๐๐๐ บาทถ้วน


ต่อมาเมื่อปลายปี พุทธศักราช ๒๔๗๒  นายโฉม จงศิริ  ปลัดขวาอำเภอบ้านเซ่า  จังหวัดลพบุรี  เมื่อยังเป็นปลัดขวาอำเภอท่าเรือ  พระนครศรีอยุธยา  พร้อมด้วยนางทองรักษ์  จงศิริ ภรรยา  ได้บริจาคทรัพย์ ๖๐๐ บาท  สร้างบันไดคอนกรีตต่อจากศาลาน้ำลงไปตามตลิ่งหน้าวัดทางทิศเหนือ  ยาว ๕ วา ๑ ศอกคืบ  ๖ นิ้ว  กว้าง ๕ ศอก และสร้างสะพานไม้ต่อจากบันไดคอนกรีตลงสู่ลำน้ำ  ยาว ๓ วา กว้าง ๕ ศอก  หลังคามุงสังกะสี  มีบันไดไม้ลงจากสะพาน ๒ ทาง คือทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ฯ
ถึงสมัยพระครูสุประดิษฐ์ศีลคุณ (ลี อินฺทโชโต) ปกครองวัดก็ได้ปรับปรุงบูรณะเสนาสนะ ตามสมควรสืบต่อจากเจ้าอาวาสรูปก่อนนั้น เช่น ซ่อมแซมโรงเรียนพระปริยัติธรรม ก่อสร้างถังเก็บน้ำ เป็นต้น

สมัยพระสมณวัตรวิมล  (คำ มาคโธ ) ปกครองได้พัฒนาวัดวาอารามถาวรวัตถุ  เช่น สร้างศาลาเอนกประสงค์   ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า  ศาลาหลวงพ่อโต”  หรือ ศาลาพระศีลวิสุทธิดิลก อีกทั้งบูรณะพระอุโบสถ  ระเบียงหอเย็น   กุฎิสงฆ์   นอกชานคอนกรีตเสริมเหล็ก รอบหอสวดมนต์  ๓ ด้าน      และพัฒนาบุคลากรรวมทั้งได้จัดตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษา  คือ โรงเรียนเสาไห้ วิมลวิทยานุกูล”  ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งให้กำเนิดโรงเรียนแห่งนี้ และอุปถัมภ์มาโดยตลอด

สมัยพระครูโกศลวิหารกิจ  (สุวรรณ  กุสลจิตฺโต)  ปกครองวัดได้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในระเบียบวินัย  กติกาของวัด  ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์   และกฎหมายขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี  หน้าที่ของคณะสงฆ์และพระภิกษุสามเณร-ศิษย์วัด และได้ปรับปรุงการศึกษาธรรมวินัยรักษาไว้ให้คงที่โดยต่อเนื่อง  เพื่อเป็นกำลังอันสำคัญในการพัฒนาบุคคล ได้เปิดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม  (แผนกธรรมและแผนกบาลี ) มีการศึกษานักธรรม บาลี ธรรมศึกษา   ขึ้นภายในวัดอีกครั้งหลังจากได้ว่างเว้นระยะเวลานานหลายปี ให้เป็นกิจจะลักษณะมั่นคงตามเดิม 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น