เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี
ทริป #๕๕ (วัดสมุหประดิษฐาราม อ.เสาไห้
จ.สระบุรี )
สวัสดีสมาชิกทุกท่านวันนี้มาตามสัญญากับทริปเที่ยววัดตามแนวลุ่มน้ำป่าสักหลังจากที่เคยนำเสนอไปแล้วหนึ่งวัดคือวัดเขาแก้ววรวิหารยังคงต้างอยู่อีกสองวัด
วันนี้จะมานำเสนอวัดที่สองคือวัดสมุหประดิษฐ์
เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ
เรียกชื่อเต็มว่า “วัดสมุหประดิษฐาราม” ตั้งอยู่เลขที่ ๒
ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม หมู่ที่ ๗
ตำบลสวนดอกไม้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
ที่ดินที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๓๓ ตารางวา
เจ้าพระยานิกรบดินทร์
มหินทรมหากัลยาณมิตร ได้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓
เพื่ออุทิศให้มารดาของท่าน เล่ากันว่า เดิมสร้างเสนาสนะขึ้น ๒ หมู่
หมู่หนึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกห่างจากกำแพงแก้วประมาณ ๑๐ วาเศษ
สำหรับเป็นที่อยู่ของเจ้าอาวาส มีกุฏิ ๔ หลัง หอสวดมนต์ ๑ หลัง อีกหมู่หนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ห่างจากกำแพงแก้วประมาณ ๑ เส้นเศษ มีกุฏิ ๗ หลัง ชนิด ๒ ห้อง ๖ หลัง ๓ ห้อง ๑
หลัง
แต่ได้ยุบคณะเหนือมารวมกับคณะใต้เสีย
เมื่อยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (มี) ปกครองวัด
เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว จึงได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง แต่จะเป็นในรัชกาลไหนไม่แน่ เพราะปรากฏว่า
ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ได้เป็นที่สมุหนายกอยู่ถึง ๒ รัชกาลคาบเกี่ยวกัน
คือตอนปลายรัชกาลที่ ๓ และต้นรัชกาลที่ สันนิษฐานว่าคงจะได้ถวายในรัชกาลที่
๔ เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว ครั้นถวายเป็นพระอารามหลวงแล้ว จึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานนามว่า
“วัดสมุหประดิษฐาราม”
ส่วนการปฏิสังขรณ์ในยุคก่อน
ๆ ไม่ทราบว่าใครได้ปฏิสังขรณ์อะไร
อย่างไรบ้าง
คงจะเป็นด้วยในยุคนั้นเสนาสนะและถาวรวัตถุยังบริบูรณ์อยู่ จึงไม่ปรากฏการปฏิสังขรณ์ พึ่งมามีขึ้นในยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล
(ชา) ผู้ครองวัดรูปที่ ๓ ได้จัดการสร้างกุฏิไม้หลังหนึ่ง ยาว ๓ ห้อง
มุงกะเบื้องไทย และกุฏิชนิดเรือนแพหลังหนึ่ง ยาว ๓ ห้อง
มุงกะเบื้องไทยเช่นเดียวกัน
กับปฏิสังขรณ์ศาลา ๒ ห้อง ๑ หลัง
สำหรับเป็นที่พักข้าราชการในเวลาถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ด้วยในยุคนั้นการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาสำหรับข้าราชการจังหวัดสระบุรี มาประชุมถือที่วัดนี้ทุก ๆ ปี แต่ได้เลิกไปประชุมถือที่อื่นนานแล้ว
ต่อมาถึงยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ผู้ปกครองวัดรูปที่ ๔ พระเจ้าพี่นางเธอ
พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้พระครูพุทธฉายาภิบาล
(ศรี) ทำการปฏิสังขรณ์ช่อฟ้า ใบระกา
ฝาผนัง บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถและกำแพงแก้ว
กับเปลี่ยนพื้นชานในกำแพงแก้วซึ่งเดิมปูด้วยกะเบื้องไทย
เป็นกะเบื้องปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมแล้วย้ายกุฏิเก่า ๘
หลังมาปลูกไว้ทางทิศใต้
สร้างกุฏิไม้ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ยาว ๗ วา กว้าง ๔ วา ๒ ศอก มีเฉลียงรอบ
ทรงเรือนไทย
พื้นชั้นเดียวหลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ และปลูกนอกชานกับปฏิสังขรณ์กุฏิ ๕
ห้องอีกหลังหนึ่ง
ศาลาการเปรียญเดิมอยู่ริมตลิ่งใกล้ลำน้ำ
ได้ย้ายมาปลูกไว้ทางทิศเหนือ
ทำเป็นมุขลด ๒ ชั้น มีมุขยื่นออกทางด้านหน้า
มีช่อฟ้าใบระกาปั้นด้วยปูน ใช้ไม้ของเก่าบ้าง ของใหม่บ้าง สร้างโรงเรียนหนังสือไทย ๑ หลัง ยาว ๗ วา ๒ ศอก กว้าง ๔ วา ๒ ศอก ทรงปั้นหยา
หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ ศาลาน้ำ
๒ หลัง
หลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงซุ้มประตูบันไดนอกชานทางทิศเหนือ อีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้ามุขพระอุโบสถทิศเหนือ ถมสระเก่า ๒ สระ ขุดใหม่ ๑ สระ
ยาว ๑๐ วา กว้าง ๑๐ วา ลึก ๔
ศอกเศษ แล้วทำรั้วไม้กั้นเขตวัด ๒
ด้าน คือด้านตะวันตก กับด้านตะวันออก สูง ๒ ศอกคืบ
และย้ายหอระฆังมาสร้างขึ้นใหม่ที่มุมกุฏิทางทิศพายัพ
การปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ได้อาศัยใช้จ่ายทรัพย์ของพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทั้งสิ้น แต่จะเป็นจำนวนเงินมากน้อยเท่าใดไม่ปรากฏ พอเสร็จการปฏิสังขรณ์แล้ว พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ก็ขอพระบรมราชานุญาตลาสิกขา
การปฏิสังขรณ์ต่างๆ
มีข้อความในหนังสือตรวจการคณะสงฆ์สระบุรีของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พ.ศ.๒๔๕๕ - ๒๔๖๐ บันทึกว่า “พระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าภัทรายุวดี
และพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ มีของก่อสร้างเป็นหลักฐาน อุโบสถก่ออิฐ
ทรวดทรงงาม กุฎีมีเป็นหมู่ใหญ่ ที่เป็น
๒ ชั้นก็มี หลังสำหรับเป็นที่อยู่เจ้าอาวาสใหญ่ถึง ๕ ห้อง
มีโรงเรียนหนังสือไทย ก่ออิฐ ๒
ชั้น สอนถึงมัธยม ๔
มีเด็กนักเรียน ๑๐๐ คนเศษ ได้อาศัยกำลังของพระเจ้าพี่นางเธอ ๒ พระองค์
ทรงช่วยอุปถัมภ์กันต่อ ๆ มา ซึ่งพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ
ทรงอุปการะอยู่ ทรงประทานค่าภัตตาหารเลี้ยงพระ ประทานค่าบำรุงครูโรงเรียน ในบัดนี้มีพระอยู่ ๑๑ รูป
เจ้าอาวาสไม่มี
พระใบฎีกานาคเป็นผู้รั้ง
จึงทรงพระดำริจะให้พระครูโต
ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะเมืองมาอยู่ครองวัดนี้” ในหนังสือตรวจการคณะสงฆ์สระบุรี ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พ.ศ.๒๔๕๕
- ๒๔๖๐ หน้า
๓๕๐
มีข้อความบันทึกการเสด็จมาวัดสมุหประดิษฐารามไว้ว่า……….วันที่ ๒๖ มกราคม
๒๔๕๗ เวลาจวนค่ำ
เสด็จประทับเรือที่นั่งอันมาจอดคอยอยู่ที่หน้าวัด เวลาย่ำค่ำ
๒๐ นาที เรือที่นั่งออกจากท่า ล่องต่อลงไป
เวลาจวน ๑ ทุ่ม ถึงหน้าวัดสมุหประดิษฐ์
ตำบลสาวไห้
เขาปลูกประรำไว้รับเสด็จที่หาดทรายหน้าวัด
ประดับประดาด้วยผ้าขาว
ผ้าแดง
ติดธงช้างและแขวนโคมญี่ปุ่น
เรือที่นั่งเทียบท่า
พระสงฆ์ประมาณ ๔๐ รูป ราษฎรชายหญิงราว ๕๐๐
คอยรับเสด็จ เสด็จขึ้นประทับ ณ
ปะรำ หลวงทรงศักดิ์วิเศษ กับองุ่น
บุตรีพระยาชัยวิชิต (ช่วง)
ผู้รักษากรุง
ซึ่งพระเจ้าพี่นางเธอ
พระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ
โปรดให้ขึ้นมาจัดการรับเสด็จคอยเฝ้าอยู่
ณ ที่นั้นด้วย ทรงปฏิสันถารแล้ว ทรงพระดำเนินขึ้นบนวัด เสด็จเข้านมัสการพระในพระอุโบสถ แล้วเสด็จกลับลงมาประทับที่ปะรำ ประทานพระธรรมเทศนาแก่ราษฎร ทรงแสดงอัปปมาทธรรม อันเป็นธรรมมีอุปการมาก ทั้งทางคดีโลกทางคดีธรรม จบแล้วประทานด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็ก ประทานปฏิสันถารแก่ราษฎรเหล่านั้น เวลา
๒ ทุ่มเศษ เสด็จลงประทับเรือที่นั่ง ทรงนำพระสงฆ์ผู้ตามเสด็จสวดมนต์ เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่บ้านเมือง ฯ
วันที่ ๒๗
มกราคม ๒๔๕๗ เวลาเช้า
เสด็จไปทรงรับบาตร
เสด็จกลับมาประทับศาลาการเปรียญ
พวกราษฎรจัดสำรับคาวหวานมาถวาย
ประมาณ ๒๐๐ ราย
ทรงรับประเคนทั่วกันแล้ว
ประทานศีล ๕ แล้วประทานพระธรรมเทศนา ทรงแสดงกัลยาธรรม ๕
จบแล้ว
เสวยเช้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหลาย
ครั้นเสวยและทรงอนุโมทนาเสร็จแล้ว ประทานของแจกแก่พวกชาวบ้าน
ประทานด้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือเด็ก
ประทานของแจกแก่พวกกรรมการอำเภอ
กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
และราษฎรผู้จัดการรับเสด็จทั่วกันแล้วเสด็จทอดพระเนตรวัด เสด็จเข้านมัสการพระในพระอุโบสถ ฯ
ครั้นถึงยุคพระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ปกครองวัด ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะขึ้นอีก ๖ หลัง สิ้นเงิน ๔๘๐ บาท ๗๙ สตางค์ ขยายสระน้ำของเก่าให้ยาวไปทางทิศตะวันออกอีก ๑๐ วา สิ้นเงิน ๑,๒๗๙ บาท ๖๕ สตางค์ ในยุคนี้พระบุญได้เป็นหัวหน้าสร้างเว็จกุฏิขึ้น ๑ หลัง ๒ ห้อง สิ้นเงิน ๓๔๑ บาท ๗๐ สตางค์ พระสมุห์ลีสร้างถนน ๔ สาย ทำเป็นถนนลาดคอนกรีต สายที่ ๑ ยาว ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก สายที่ ๒ ยาว ๑๖ วา ๒ ศอกคืบ สายที่ ๓ ยาว ๙ วาคืบ สายที่ ๔ ยาว ๑๐ วา ๒ ศอก กว้าง ๓๐ นิ้วฟุตเท่ากันทั้ง ๔ สาย รวมทั้งหมดสิ้นเงิน ๑,๐๓๙ บาท ๗๐ สตางค์ พระจันทร์สร้างกุฏิไม้ ๑ หลัง ๓ ห้อง หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ สิ้นเงิน ๓๖๗ บาท ต่อมาพระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ได้สร้างกุฏิไม้ขึ้นอีก ๑ หลัง ยาว ๙ วา ๒ ศอกคืบ ๙ นิ้ว กว้าง ๑๐ ศอก ทรงปั้นหยา หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ สิ้นเงิน ๑,๒๐๐ บาท และได้สร้างครัวขึ้นหลังหนึ่ง ยาว ๔ วา กว้าง ๘ ศอก มีเฉลียง ๒ ด้าน มุงด้วยสังกะสี สิ้นเงิน ๓๖๐ บาท สร้างโต๊ะเก้าอี้สำหรับโรงเรียนธรรมวินัย ๒๐๒ ชุด สิ้นเงิน ๑,๘๓๙ บาทพ.ศ. ๒๔๗๐ พระศีลวิสุทธิดิลก (โต) เป็นหัวหน้าชักชวนเจ้าอาวาสในท้องที่จังหวัดสระบุรี พร้อมกับประชาชนผู้มีศรัทธา บริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียนธรรมวินัยขึ้น ๑ หลัง ยาว ๑๗ วา กว้าง ๕ วาคืบ เป็นโรงเรียน ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทรงปั้นหยา ด้านหน้ามีมุขคู่ ด้านหลังมุขเดี่ยว หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์ สิ้นเงินรวมทั้งสร้างถนนและอื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องติดต่อกับโรงเรียนด้วย ๑๙,๘๓๕ บาท
พ.ศ. ๒๔๗๒ พระศีลวิสุทธิดิลก (โต)
ได้ยุบกุฏิเท่าที่ชำรุดหักพังแล้ว
รวมสร้างใหม่ เสาและคานหล่อคอนกรีต
ยาว ๔ วา ๒ ศอก กว้าง ๓ วา ๓ ห้อง
เป็นทรงปั้นหยา
หลังคามุงกะเบื้องซีเมนต์
ใช้จ่ายเงินผลประโยชน์ที่ได้จากทุน ๔๐,๐๐๐ บาท อันเป็นส่วนของพระเจ้าพี่นางเธอ
พระองค์เจ้าเจริญศรีชนมายุ
ทรงอุทิศไว้สำหรับบำรุงพระอาราม
สิ้นเงิน ๒,๐๐๐ บาทถ้วน
ต่อมาเมื่อปลายปี
พุทธศักราช ๒๔๗๒ นายโฉม จงศิริ ปลัดขวาอำเภอบ้านเซ่า จังหวัดลพบุรี
เมื่อยังเป็นปลัดขวาอำเภอท่าเรือ
พระนครศรีอยุธยา
พร้อมด้วยนางทองรักษ์ จงศิริ
ภรรยา ได้บริจาคทรัพย์ ๖๐๐ บาท
สร้างบันไดคอนกรีตต่อจากศาลาน้ำลงไปตามตลิ่งหน้าวัดทางทิศเหนือ ยาว ๕ วา ๑ ศอกคืบ ๖ นิ้ว
กว้าง ๕ ศอก และสร้างสะพานไม้ต่อจากบันไดคอนกรีตลงสู่ลำน้ำ ยาว ๓ วา กว้าง ๕ ศอก หลังคามุงสังกะสี มีบันไดไม้ลงจากสะพาน ๒ ทาง
คือทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ฯ
ถึงสมัยพระครูสุประดิษฐ์ศีลคุณ
(ลี อินฺทโชโต) ปกครองวัดก็ได้ปรับปรุงบูรณะเสนาสนะ
ตามสมควรสืบต่อจากเจ้าอาวาสรูปก่อนนั้น เช่น ซ่อมแซมโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ก่อสร้างถังเก็บน้ำ เป็นต้น
สมัยพระสมณวัตรวิมล (คำ มาคโธ )
ปกครองได้พัฒนาวัดวาอารามถาวรวัตถุ เช่น
สร้างศาลาเอนกประสงค์
ซึ่งชาวบ้านมักเรียกกันว่า “ศาลาหลวงพ่อโต” หรือ ศาลาพระศีลวิสุทธิดิลก อีกทั้งบูรณะพระอุโบสถ ระเบียงหอเย็น กุฎิสงฆ์
นอกชานคอนกรีตเสริมเหล็ก รอบหอสวดมนต์
๓ ด้าน
และพัฒนาบุคลากรรวมทั้งได้จัดตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาให้แก่โรงเรียนมัธยมศึกษา คือ โรงเรียนเสาไห้ “วิมลวิทยานุกูล” ในฐานะเป็นผู้ก่อตั้งให้กำเนิดโรงเรียนแห่งนี้
และอุปถัมภ์มาโดยตลอด
สมัยพระครูโกศลวิหารกิจ (สุวรรณ
กุสลจิตฺโต)
ปกครองวัดได้ปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในระเบียบวินัย กติกาของวัด
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
และกฎหมายขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี
หน้าที่ของคณะสงฆ์และพระภิกษุสามเณร-ศิษย์วัด
และได้ปรับปรุงการศึกษาธรรมวินัยรักษาไว้ให้คงที่โดยต่อเนื่อง เพื่อเป็นกำลังอันสำคัญในการพัฒนาบุคคล
ได้เปิดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม
(แผนกธรรมและแผนกบาลี ) มีการศึกษานักธรรม – บาลี –
ธรรมศึกษา
ขึ้นภายในวัดอีกครั้งหลังจากได้ว่างเว้นระยะเวลานานหลายปี
ให้เป็นกิจจะลักษณะมั่นคงตามเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น