วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๑ (วัดนายโรงกราบหลวงปู่รอดพระอาจารย์เบี้ยแก้ชมจิตรกรรมฝาผนังชั้นครู)

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๑ (วัดนายโรงกราบหลวงปู่รอดพระอาจารย์เบี้ยแก้ชมจิตรกรรมฝาผนังชั้นครู)
สวัสดีครับทุกท่านวันนี้เป็นอีกครั้งที่กลับมาทำหน้าที่เหมือนเคยและผมเองก็ได้สัญญากับพระอาจารย์สุรัตน์ท่านเจ้าอาวาสวัดนายโรงว่าจะเผยแพร่ความงดงามและทรงคุณค่าของวัดนายโรงที่ท่านกรุณาอำนวยความสะดวกในการเข้าชมภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านในพระอุโบสถ หลังจากที่ได้นั่งคุยกับคุณยายชุติมาผู้ดูแลวัด คุณยายท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องราสในอดีตของวัดและชีวิตชาวคลองบางกอกน้อย ตั่งแต่สมัยคุณยายท่านยังเป็นเด็กอยู่ ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนบริเวณนี้ร่มรื่นด้วยพรรณไม้นานชนิดทั้งไม้ดอกไม้ผลที่ขึ้นอยู่ริมคลองที่เด็กๆสมัยนั้นสามารถเก็บมากินได้โดยไม่ต้องซื้อหาเหมือนในสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือผลไม้อื่นๆที่ลอยน้ำมา หรือแม้กระทั้งดอกไม้นานชนิดไม่ว่าจะเป็นดอกพิกุล ดอกโมก ดอกแก้วและดอกจิกน้ำที่ลอยน้ำมาเป็นสีแดงสีขาวเป็นทางยาวเด็กเก็บมาร้อยมาลัยเล่น หรือเป่าเล่นให้หมุนตามน้ำที่ลอยมา ผมนั่งฝังแล้วเห็นภาพเลยครับนั่งคุยกับยายท่านนานพอสมควรก่อนที่สามเณรที่หลวงพ่อท่านให้พาเที่ยวชมวัด 


     

วัดนายโรง เป็นวัดขนาดเล็กที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุที่สวยงามในพื้นที่เขตบางกอกน้อย และเป็นวัดที่มีความสงบร่มรื่น เน้นการศึกษาและพัฒนาตนตามแนวทางพระพุทธศาสนา และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อการอนุรักษ์ ส่งเสริม สนับสนุนศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมอันดีงาม ในอดีตวัดนายโรงเคยเป็นที่พำนักของหลวงปู่รอด ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้านวิทยาคมและวัตถุมงคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบี้ยแก้ และลูกอมชานหมาก
      ประวัติความเป็นมาของวัด ไม่มีหลักฐานหรือรายละเอียดที่ชัดเจนแน่นอนว่าก่อสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เป็นแต่เพียงได้สืบทราบจากคําบอกเล่าว่า นายกรับซึ่งเป็นเจ้าของคณะละครนอกที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๔ เป็นผู้สร้าง นายกรับ เป็นทั้งครูสอนและนายโรงละคร (เจ้าของโรงละคร) รับงานแสดงละครจนมีฐานะร่ำรวย จึงได้นำเงินที่ได้จากการแสดงละครมาสร้างวัดไกล้ ๆ บ้านขึ้น และได้ตั้งชื่อว่า ตามคำเรียกของชาวบ้านให้ชื่อว่า วัดนายโรงวัดนายโรงเดิมมีชื่อเรียกหลาย ๆ ชื่อด้วยกัน คือ บ้างก็เรียกว่า วัดเจ้ากรับหรือ วัดละครเจ้ากรับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อวัดนายโรงใหม่ว่า วัดสัมมัชชผลแต่ประชาชนในท้องถิ่นมักจะเรียกว่า วัดนอกเป็นการเรียกคู่กันกับ วัดใน” (วัดบางบําหรุ) ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ไกล้ชิดกัน หรือบางทีก็เรียกว่า วัดปากคลองเพราะตั้งอยู่ตรงปากคลองบางบําหรุ
สถานที่ตั้ง : เขตที่ตั้งของวัด
ทิศตะวันออก ติดกับที่ของเอกชนและโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง
ทิศตะวันตก ติดกับคลองบางกอกน้อย
ทิศเหนือ ติดกับที่ของเอกชน
ทิศใต้ ติดกับคลองบางบําหรุ


      การเดินทางมาที่วัดสามารถเดินทางได้ทั้งทางบกและทางเรือ โดยทางบก สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ ส่วนทางเรือขึ้นเรือหางยาวจากท่าช้างเส้นทางที่จะไปบางกรวยหรือบางใหญ่ เรือจะวิ่งผ่านหน้าวัดนายโรง
ซอยบรมราชชนนี ๕ ตรงมาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถึงซอย ๔๕ แล้วเลี้ยวขวา ตรงไปเรื่อย ๆ จะผ่านวัดบางบำหรุ และโรงเรียนมัธยมวัดนายโรง จึงจะถึงวัดนายโรง เข้าตรงซอยบรมราชชนนี ๑๕ ข้างศาลพระศิวะ หรือภัตตาคาร ป.กุ้งเผา จะผ่านหมู่บ้านพันธ์ศักดิ์ เลี้ยวซ้ายตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงแนวกำแพงวัดบางบำหรุ แล้วให้เลี้ยวขวาไปตามแนวถนนจนสุดซอย ก็จะถึงวัดนายโรง
     

ประวัติผู้สร้างวัดนายโรง เจ้ากรับ เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๙ ตรงกับปีขาล ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ที่ชุมชนหลังวัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรนายถิน และนางกุ เจ้ากรับ เป็นเจ้าโรงละนอกซึ้งมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๔ และเดิมมีชื่อเรียกว่า กลับชีวประวัติของเจ้ากรับ มีเล่าไว้ว่า เมื่อนางกุตั้งครรภ์ จวนจะครบกำหนดคลอด นางกุพร้อมด้วยลูกชายคนโตไปขายขนมทางเรือด้วยกัน ขณะพายเรือไปตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เรือพายที่นั่งมาร่ม ลูกชายจมน้ำเสียชีวิตบริเวณหน้าวัดระฆังโฆสิตาราม นางกุเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งนางกุ ได้พายเรือไปขายขนมตามปกติ ได้พบกับหญิงชาวมอญคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในด้านเวทย์มนต์คาถา จอดเรืออยู่ นางกุจึงได้เล่าความทุกข์จากการสูญเสียบุตรคนโตให้หญิงชาวมอญฟัง จนในที่หญิงชาวมอญคนนั้น เกิดความสงสาร จึงรับอาสาทำพิธีเพื่อขอให้บุตรชายของนางกุที่เสียชีวิตไปกลับคืนชาติมาเกิดใหม่ เมื่อนางกุตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาเป็นชาย จึงตั้งชื่อว่า กลับหมายถึง บุคคลผู้ตกน้ำแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ เมื่อนายกลับโตขึ้น ได้ฝึกละครกับคณะละครของครูทองอยู่ ซึ่งเป็นคณะละครนอกอันลือชื่อในสมัยนั้น โดยได้เล่นเป็นตัวเอกในเรื่องอีเหนา ต่อมาได้ย้ายไปเล่นกับคณะครูบุญยัง ซึ่งเป็นละครนอกที่มีชื่อเช่นกัน เมื่อครูบุญยังเสียชีวิต ผู้แสดงละครเริ่มแยกวง ไปคนละทิศละทาง เจ้ากรับจึงพยายามรวบรวมตัวละครขึ้นมาใหม่ และตั้งเป็นคณะละครนอกของตัวเองโดยหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้าและผู้แสดงนำหรือ นายโรง เจ้ากรับ ได้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนที่บริเวณย่านบางบำหรุ พร้อมกับได้สรรหาผู้แสดงหน้าใหม่มาฝึกเพิ่มเติมจนเป็นคณะละครนอกโรงใหญ่ขึ้น มาโดยพยายามรักษารูปแบบและมาตรฐานการแสดงละครแบบเดิมของครูทั้งสองเอาไว้ คณะละครนอกของเจ้ากรับ แสดงได้ดี มีชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับของคนในย่านบางบำหรุ และคนนอกพื้นที่ สุนทรภู่กวีเอกของไทย ได้กล่าวถึงเจ้ากรับ นายโรงละครนอกไว้ในในสุภาษิตสอนหญิงตอนหนึ่งว่า



" ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู ยังไม่รู้เนื้อความที่ถามหา
วันนี้ละครใครที่ใหนมา พอรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป "(ภาพประกอบด้านล่างเป็นภาพเจ้ากรับ และลายปูนปั้นรูปคนที่ซุ้มประตูโดยส่วนตัวคิดว่าร่าจะเป็นพวกจำอวดตัวตลกในละคร อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
ประวัติเจ้ากรับ
เจ้ากรับได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ จนสิ้นพระชนม์จึงได้ถวายตัวกับสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัส ฯ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เจ้ากรับได้เล่นละครถวายให้พระองค์ทอดพระเนตร





      นอกจากนี้ คณะละครของเจ้ากรับได้รับเกียรติเป็นพิเศษให้เป็น ๑ ใน ๗ ของคณะละครที่เปิดทำการแสดงละครในงานสมโภชคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ อีกด้วย เจ้ากรับ เล่นละครจนมีชื่อเสียงและมีฐานะมั่นคง จึงได้รวบรวมเงินที่ได้จากการแสดงละครไปซื้อที่ดินบริเวณย่านบางบำหรุ เพื่อสร้างเป็นวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ โดยได้ตั้งชื่อว่า วัดนายโรง ซี่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านนิยมเรียกตามลักษณะของผู้สร้างคือ นายโรงละคร เพื่อเป็นเกียรติประวัติและอนุสรณ์แก่ตนเอง เจ้ากรับได้สนองคุณของประเทศชาติ พระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยความจงรักภักดี นายกรับได้เสียชีวิต เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ ตรงกับปีขาล ขณะที่มีอายุได้ ๖๑ ปี ขณะนี้ อัฐิและรูปเหมือนของ เจ้ากรับบรรจุไว้ที่เจดีย์เจ้ากรับหน้าวิหารวัดนายโรง (ภาพประกอบด้านล่างเป็นลวดลายปูนปั้นลายผู้หญิงและชายซุ้มประตูวิหารวัดนายโรงที่หลายคนมองผ่าน มันเป็นหน้าที่เราคนรุ่นหลังหลายๆคงต้องช่วยกันดูแลและเผยแพร่ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้ลูกหลายได้ภูมิใจ )
หลวงปู่รอดเป็นชาวบางพรม ต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดนายโรง จนกระทั้งได้รับแต่งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดนายโรง รูปที่ ๒ และเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ทำการอุปสมบทกุลบุตรในย่านคลองบางกอกน้อย คลองชักพระ บางละมาด บางพรม ธนบุรี ตลอดจนบางกรวย บางใหญ่ บางคูเวียง นนทบุรี จนมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากหลวงปู่รอดนอกจากจะเป็นพระเถระที่มีความรู้ความ ชำนาญด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน แล้ว ยังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษในด้านพุทธาคมและเวทย์วิทยาคมอีกด้วยโดย เฉพาะ เรื่อง เบี้ยแก้ และลูกอมชานหมาก
       วัตถุมงคลของหลวงปู่รอด เบี้ยแก้ เป็นหอยชนิดหนึ่งในตระกูล Cypraea วงศ์ Cypraeidea จะมีลักษณะหลังนูนท้องแบน เปลือกแข็ง ผิวเป็นมัน ช่องปากยาวแคบเป็นลำราง ไปจนสุดปลายทั้งสองข้างริมปากทั้งสองด้านเป็นหยัก ๆ คล้ายฟัน ไม่มีแผ่นปิด คนทั่วไปจะเรียกว่า หอยเบี้ย ในสมัยโบราณเคยใช้หอยชนิดนี้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายแทนเงิน และเบี้ยชนิดนี้มีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น เบี้ยจั่น เบี้ยแก้ว เบี้ยนาง อัตราการแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ ๑๐๐ เบี้ย เท่ากับ ๑ อัฐ หรือสตางค์ครึ่ง ครั้นนำมาประกอบพิธีปลุกเสกด้วยพุทธาคมและเวทย์วิทยาคม ตามกรรมวิธีหลวงปู่แล้ว เรียกว่า เบี้ยแก้ เชื่อกันว่า เป็นวัตถุมงคลที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ผู้ถือครองตั้งอยู่ในความดี และสามารถป้องกันหรือแก้ไขอันตรายต่าง ๆ จากคุณไสย และภูตผีปีศาจได้เป็นอย่างดี ตามความเชื่อของคนในสมัยนั้น
ส่วนประกอบและมวลสารของเบี้ยแก้ : เบี้ยแก้ของหลวงปู่จะประกอบด้วยวัตถุ ๔ อย่าง คือ
๑. หอยเบี้ย
๒. ปรอท
๓. ชันโรงใต้ดิน
๔. แผ่นตะกั่วนม
หลวงปู่จะนำวัตถุทั้ง ๔ อย่างมาส่วนประกอบของการทำเบี้ยแก้ หลังจากประกอบพิธีปลุกเสกด้วยพุทธาคมและเวทย์วิทยาคมตามกรรมวิธีของท่าน เมื่อผ่านพิธีปลุกเสกแล้ว หลวงปู่จะมอบให้ลูกศิษย์ไว้ติดตัวเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายต่าง ๆ ปัจจุบันเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด เป็นวัตถุมงคลที่หาได้ยากและมีคุณค่า
      ลักษณะพิเศษเบี้ยแก้หลวงปู่รอด เบี้ยแก้ของหลวงปู่ จะมีลักษณะพิเศษที่พอสังเกตได้ดังนี้
ตัวเบี้ย หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกว่า เบี้ยพลู มีขนาดไม่ใหญ่เกินไปนัก จะมีขนาดความยาว ประมาณ ๓.๔ -๓.๕ ซ.ม. และกว้าง ๒.๔-๒.๕ ซ.ม. ลักษณะภายใน หากจับเขย่าดู จะมีเสียงดังเบา ๆ ซึ่งเป็นเสียงปรอทที่บรรจุไว้ภายในบริเวณใต้ท้องเบี้ยแก้ จะมีชันโรงใต้ดินปิดอยู่ ตั้งปากเบี้ยจนถึงท้องเบี้ย และชันจะเกาะติดแน่นอยู่กับท้องเบี้ย เบี้ยแก้ทุกตัว จะหุ้มด้วยแผ่นตะกั่วนมอย่างดีและประณีตบรรจง โดยจะเปิดส่วนที่นูนของเบี้ยไว้ แผ่นตะกั่วที่หุ้มเบี้ยแก้ จะมีการลงอักขระกำกับไว้ โดยการใช้เหล็กจาร หากดูผิวเผินอาจจะมองไม่เห็นชัด และตัวอักษรที่จารจะมีรอยเส้นเรียบ เบี้ยแก้ทุกเบี้ยจะถักด้ายหุ้มไว้ ในการถักด้ายจะมี ๒ แบบ คือ ถักหุ้มปิดหลังเบี้ย และถักหุ้มเปิดหลังเบี้ย แล้วทาด้วยยางมะพลับ หรือยางหมาก ปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง[
สิ่งเคารพภายในวัด
ปูชนียวัตถุ และปูชนียสถานที่สําคัญภายในวัด
      อุโบสถอุโบสถวัดนายโรง เป็นอุโบสถขนาดกลาง ก่อด้วยอิฐถือปูน ซึ่งมีลักษณะโดยรวมคือ หลังคาลดสองชั้น ที่ช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ประดับกระจก หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีส้มและสีเขียว (เป็นลักษณ์พิเศษของโบสถ์วัดนายโรง เพราะในสมัยนั้นมีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งที่ได้ยึดถือสืบทอดกันมา คือ โบสถ์ วิหาร ตลอดจนถาวรวัตถุต่าง ๆ ภายในวัดราษฎร์ จะนําเอากระเบื้องเคลือบมาใช้มุงหลังคามิได้ นอกจากพระอารามหลวงหรือวัดที่ราษฎรสร้างขึ้นเพื่อน้อม เกล้าฯ ถวายให้เป็นพระอารามหลวงเท่านั้น) หน้าบันเป็นลายไม้แกะสลัก มีบัวหน้ากระดาน และกระจังตั้ง กระจังรวน มีรวงผึ้ง เสารับมุขด้านหน้าและด้านหลัง ที่หัวเสาเป็นลายปูนปั้นกลีบบัว เสาทุกต้นมีม่านไข่ มีประตูด้านหน้าและด้านหลัง ด้านละ ๑ ประตู หน้าต่างมีด้านละ ๔ ช่อง
      วิหาร ก่อด้วยอิฐถือปูน เป็นรูปทรงแบบเดียวกันกับโบสถ์ ซึ่งมีลักษณะโดยรวมคือ หลังคาลดสองชั้นมีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาธรรมดา หน้าบันเป็นลายไม้และสลัก มีบัว หน้ากระดาน มีกระจังตั้ง กระจังรวน มีรวงผึ้ง เสารับมุข ที่หัวเสาด้านหน้า และด้านหลัง เป็นลายปูนปั้นกลีบบัว เสาทุกต้นมีม่านไข ประตู้เข้าวิหารมีเฉพาะด้านหน้าทางเดียว ด้านหลังเป็นผนังทึบ หน้าต่างมีข้างละ ๒ ช่อง ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นดอกไม้และใบไม้ ซุ้มหน้าต่างทุกช่องมีสัญลักษณ์รูปชฎาละครปั่นด้วยปูน ซึ่งใน ๒ ช่อง แรก ปั่นเป็นแบบกระบังหน้า ส่วน ๒ ช่องหลังปั่นเป็นแบบปันจุเหร็จ ผนังข้างหลังด้านนอกเจาะเป็นคูหาเข้าไปแล้วประดิษฐานพระพุทธ รูปปูนปั้นปางป่าเลไลยก์สร้างด้วยไม้ ยึดด้วยสลัก เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสองลงรักปิดทอง ประดับกระจกลวดลายงดงามมาก เป็นฝีมือช่างแต่โบราณบุษบก นี้ตั้งอยู่บนศาลาการเปรียญใช้เป็นธรรมาสน์สําหรับพระเทศนาเนื่องในงานต่าง ๆ เช่น เทศน์มหาชาติ และเทศน์ประจำวันพระในเทศกาลเข้าพรรษา เป็นต้น
หลวงปู่รอด เป็นรูปเหมื่อนหลวงปูรอดที่ทำด้วยด้วยโลหะ ลงรักปิดทอง ขนาดเกือบเท่าองค์จริง เดิมตั้งไว้ หน้าวิหาร ต่อมาได้ย้ายตั้งไว้ที่ศาลาจตุรมุข เพื่อเป็นการให้ความสะดวกแก่ผู้ที่จะมาสักการะบูชา รูปหล่อหลวงปู่สร้างถวายโดยนายปาน เจียทิพย์ ซึ่ง เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่รอด
จิตรกรรมฝาผนัง
     





เรื่องราวของภาพจิตรกรรมฝาผนังตามอุโบสถและวิหาร โดยทั่วไป ส่วนมากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติชาดก ชุดทศชาติในมหานิบาตชาดก นอกจากนั้นเป็นเรื่องบริวาร เช่น เทพชุมชน นรก สวรรค์ นางฟ้า ท้องฟ้า เมฆ นอกจากนี้ เรื่องราวในจิตรกรรมฝาผนัง ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่จิตรกรสะท้อนลงไว้ในภาพด้วย
สำหรับการวางตำแหน่งเรื่องราวของภาพจิตกรรมฝาผนังนิยมเขียนไว้บริเวณผนังระหว่างหน้าต่าง ๒ บานที่เรียกว่า ห้องภาพ แต่ละห้องจะเขียนภาพเป็นเรื่อง ๆ ไม่ช้ำตอนกัน เนื้อหาของเรื่องจะสรุปรวมเป็นภาพรวมใหญ่ในห้องภาพเดี่ยวกัน ส่วนตอนบนของห้องภาพ นิยมเขียนเป็นภาพเทพชุมนุมเรียงซ้อนกันเป็นแถวขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ถึง ๓ ชั้น สำหรับบริเวณตอนบนเหนือประตูตรงข้ามพระประธานนิยมเขียนภาพพุทธประวัติปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มห้องตลอดด้าน ส่วนตอนบนด้านหลังพระประธานนิยมเขียนเรื่องพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์กลับจากโปรดมารดา ถัดลงมาข้างล่าง ก็เป็นภาพเกี่ยวกับพระมาลัยลงมาโปรดสัตว์ที่เดือดร้อนอยู่ในนรกภูมิ
สำหรับจิตรกรรมวัดนายโรง การวางตำแหน่งภาพ และเนื้อหานั้น ดำเนินไปตามแบบที่นิยมโดยทั่วไป คือ เนื้อหาหลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติชุดทศชาติ ด้านหลังพระประธานตอนบนเป็นภาพเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ ถัดลงมาเป็นภาพชุพระมาลัยโปรดสัตว์ในนรกภูมิ ด้านหน้าพระประธานตอนบนเป็นภาพผจญมารของพระพุทธเจ้า
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดนายโรง จัดเป็นโบราณวัตถุที่สำคัญยิ่งของวัด และเป็นจิตรกรรมที่กรมศิลปากรได้จดทะเบียนเป็นจิตรกรรมฝาผนังของชาติ
ทศชาติชาดก
ทศชาติ หมายถึง พระชาติทั้งสิบของพระโพธิสัตว์ที่ทรงบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ ก่อนที่จะทรงตรัสรู้เป็นพระสมณโคดมพระชาติ ดังกล่าวคือ
1. เตมีย์ พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือ การออกบวช หลุดพ้นจาก กิเลสทั้งปวง
2. ชนกพระโพธิสัตว์บำเพ็ญวิริยะบารมี คือ การเพียรพยายามแหวกว่ายในมหาสมุทรที่มีคลื่นลมรุนแรงนานถึง ๗ วัน
3. สุวรรณสาม พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเมตตาบารมี คือ การไม่อาฆาตต่อผู้ทำร้ายพระองค์ แม้จะถึงซึ่งชีวิต กลับแสดงกิริยาต่อบุคคลนั้นด้วยเมตตา
4. เนมิราช พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ต่อการประพฤติธรรม
5. มโหสถ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญปัญญาบารมี คือ ทรงใช้ปัญญาเข้าแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ อย่างหลักแหลมและถูกต้องตามครรลองธรรม
6. ภูริทัต พระโพธิสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี คือ ทรงมีพระทัยจดต่อต่อการบำเพ็ญศีล แม้จะมีอุปสรรคนานาประการ
7. จันทกุมาร พระโพธิสัตว์บำเพ็ญขันติบารมี คือ ทรงอดทนต่อภัยที่จะมาถึงพระองค์
8. นารท พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอุเบกขาบารมี
9. วิธูร พระโพธิสัตว์บำเพ็ญสัจจบารมี คือ การรักษาคำมั่นของผู้เป็นนาย แม้การรักษาคำมั่นนั้น จะเป็นภัยแก่ตัว
10. เวสสันดรชาดก พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี (เป็นพระชาติสุดท้าย) ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสมณโคดม โดยเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งเก้าประการที่บำเพ็ญมาแล้วในอดีตชาติ รวมทั้งทานบารมีที่ทรงบำเพ็ญในชาตินี้ เป็นสิบประการ ซึ่งสามารถแยกกล่าวโดยย่อได้ดังนี้
ทานบารมี ด้วยการบริจาคทานตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แม้ก่อนจะเสด็จไปเขาวงกต ก็บำเพ็ญสัตตสดกมหาทาน ต่อมาก็ทรงยกสองกุมารและพระมเหสีให้ผู้อื่น
ศีลบารมี โดยทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัด
เนกขัมมบารมี โดยทรงครองเพศบรรพชิต
ปัญญาบารมี โดยบำเพ็ญภาวนามัยปัญญา สำรวมใจมุ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ
วิริยะบารมี ทรงพากเพียรในการปฏิบัติธรรม
ขันติบารมี ทรงอดกลั้นต่อความทุกข์ ที่ชูชกเฆี่ยนตีสองกุมาร ต่อพระพักตร์ของพระองค์
สัจจะบารมี ทรงรักษาสัจจะว่าจะยกสองกุมารให้ชูชก ก็กระทำตามสัจจะนั้น แม้สองกุมารจะหนีไปซ่อนในสระ ก็ทรงเรียกหาขึ้นมา ชี้แจงเหตุผลด้วยพระเมตตา
อธิษฐานบารมี ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญพระโพธิญาณ
เมตตาบารมี ทรงบริจาคทานให้พสกนิกรด้วยพระทัยเมตตา
อุเบกขาบารมี ทรงวางเฉย เมื่อเห็นสองกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี
คนไทยทั่วไป คุ้นเคยกับเวสสันดรมากกว่าชาดก เรื่องอื่นๆ เพราะมีเนื้อเรื่องยาว ในทางวรรณคดีจึงแยกเขียนออกไป ๑๓ กัณฑ์ หรือพันคาถาอย่างที่เราเรียกกันว่าคาถาพัน สำหรับการเทศน์มหาชาติ ถือได้ว่าเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ เป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านต้องร่วมกันบำเพ็ญ แม้ในปัจจุบันก็ยังเป็นประเพณีนิยมที่สืบเนื่องมาอย่างไม่ขาดช่วง โดยเฉพาะตามชนบท
คตินิยมในเรื่องเวสสันดร มิได้ปรากฏเฉพาะทางวรรณคดี หรือสัมพันธ์กับชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังปรากฏในจิตวรรณคดีหรือสัมพันธ์กับชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังปรากฏในจิตรกรรมด้วย โดยเฉพาะจิตรกรรมที่วัดสุวรรณรามแห่งนี้ จิตรกรเขียนเรื่องเวสสันดร ไว้หลายห้อง เริ่มตั้งแต่กัณฑ์ทศพรไปจนจบ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาชมกระทู้ อย่าลืมหากมีเวลาไปเที่ยววัดนายโรงกราบหลวงปู่รอด บูรพาจารย์แห่งเบี้ยแก้ที่เป็นที่เสาะหากกันโดยทั่วไปแต่ค่อนข้างจะหายากหน่อยครับสำหรับเบี้ยแก้ของหลวงปู่ ว่ากันว่าวิชาเบี้ยแก้สายวัดนายโรงยังมีคนสืบสานต่อคือหลวงพ่อตี๋วัดหูช้างที่ทำเบี้ยแก้สูตรวัดนายโรง ยังไงรอผู้รู้มาต่อนะครับเรื่องเบี้ยแก้ และนอกเหนือจากเบี้ยแก้ก็จะเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้ยังรอให้บรรดาลูกหลานได้ชื่นชมฝีมือช่างเขียนชั้นครูอยู่ที่วัดนายโรงครับ ขอคุณข้อมูลซึ่งผมเองจำไม่ได้ว่าไปค้นมาจาก WEB ไหนแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น