วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๔ (วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ชมเจดีย์ห้ายอด )

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริป #๕๔ (วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ชมเจดีย์ห้ายอด )
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้ต้องรับภารกิจพิเศษต้องไปซื้อของเข้าบ้านที่ดอนพุดอดไปครับ แต่ได้ออกจากบ้านที่จะต้องไปวัดและก็เหมือนกับทุกครั้งที่มาที่นี่ คือการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวัดวาอารามที่เคยไปมาและดูเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำไปเสียแล้วไม่ว่าจะเดินทางไปไหนที่มีวัด ไม่ว่าวัดเล็กวัดใหญ่วัดใหม่วัดร้างหากมีเวลาพอในการเดินทางแต่ละครั้งสักชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็เอาสำหรับการเก็บภาพเพื่อมาหาข้อมูลต่อเพื่อสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาชมกระทู้ ซึ่งผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผม สำหรับการเดินทางในครั้งนี้วางโปรแกรมไว้สามวัด จากบ้านที่ดอนพุด วัดแรกที่ตั้งเป็นจุดหมายแรกคือวัดเขาแก้ววรวิหาร ส่วนวัดที่สองต้องย้อยกลับมาทางเดิมข้ามแม่น้ำป่าสักมาที่วัดสมุหประดิษฐาราม วัดที่ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ มหินทรมหากัลยาณมิตร (โต) ต้นตระกูลกัลยาณมิตรสร้าง  แล้วออกมาเลี้ยวขวาที่สี่แยกมุ่งหน้าไปวัดจันทบุรี ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและทรงคุณค่า  แต่สำหรับวันนี้ขอพาชม วัดเขาแก้ววรวิหาร ชม เจดีย์ 5 ยอด ศิลปะล้านนา-ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เรามาทราบประวัติ วัดเขาแก้ว วรวิหารไปพร้อมๆกันครับ



วัดเขาแก้วเดิมเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอยู่บนเขา ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตท้องที่ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ ปี พ.ศ.2171 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายได้ทรงแวะพักไพร่พลขบวนราบ ณ พลับพลาท่าหิน ลานหน้าวัดเขาแก้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเลื่อมใสในภูมิฐานของวัด ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณะธรรม พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัด นี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้จัดพวกนายกองโค พากันไปรับไม้เครื่องบนและสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม  ก่อกำแพงรอบพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์และบูรณะองค์พระเจดีย์ของเดิมเมื่อเสร็จแล้วมีพระกระแสรับสั่งให้สถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็นพระอารามหลวงพระราชทานนามว่า วัดคีรีรัตนารามเมื่อ พ.ศ.2546  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิโนรส องค์สังฆประมุขเสด็จออกตรวจการ คณะสงฆ์จังหวัดสระบุรี เสด็จทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว ทรงเห็นป้ายที่ติดไว้ท่าหินลาดหน้าวัดว่า วัดคีรีรัตนารามรับสั่งว่าเป็นคำมคธ ทรงให้เรียกเป็นคำไทยว่า วัดเขาแก้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปูชนียสถาน

พระเจดีย์ ของเดิมสร้างมานานไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด เป็นเจดีย์ที่งดงามมากองค์หนึ่ง รูปไทยทรง 5 ยอดชนิดมีเรือนทาส แบบย่อเหลี่ยมไม้สิบสองตั้งบนฐาน ทักษิณ 3 ชั้น ประกอบด้วยซุ้มจระนำ 4 ด้าน
องค์ระฆังเป็นระฆังกลมประกอบด้วยกลุ่มปลียอดพระเจดีย์มีความสูง 35 เมตร กว้างโดยรอบ 43.40 เมตร ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุสาวกตลอดจนสิ่งอันมีค่าไว้ ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าวันดีคืนดี มีคนได้เห็นรัศมีดวงแก้วลอยส่องสว่างบนยอดเจดีย์อยู่เสมอ นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อันควรสักการะบูชา เพื่อเป็นสิริมงคล




       พระอุโบสถ  ตามทะเบียนวัดของทางราชการแจ้งว่าอุโบสถวัดนี้ ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2312 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ พระอุโบสถขึ้นใหม่รูปลักษณะเป็นทรงไทยก่ออิฐ ถือปูน หลังคาซ้อน 2 ชั้น มุขลด 1 ขั้น  ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นมุขโถงพื้นปูอิฐหน้าวัว พื้นในพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อน เครื่องบนเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องติดช่อฟ้า ดินเผา บริเวณพัทธสีมา กว้าง 14 เมตร ยาว 23 เมตร มีกำแพงแก้ว ล้อมรอบ กว้า ง 18.50 เมตร ยาว 28  เมตร
พระปรางค์  ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ฐานทักษิณ ชั้นที่ 1 ของพระเจดีย์ สร้างโดยนายอุปอะปานนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2413  สมัยพระครูศรีวิสุทธิญาณมุนี เป็นเจ้าอาวาส มีรูปลักษณะ เป็นปรางค์ 5 ยอด มี 3 มุข 
มุขกลางด้านทิศใต้ ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง 
มุขทางด้านทิศตะวันออก ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ที่จั่วด้านในของมุขเขียนภาสีเรื่องอสุภกรรมฐาน และธุดงค์วัตร
เสียดายไม่ได้ดก็บภาพมาฝาก และต้องขอขอพระคุณพระที่วัดที่แนะนำว่าบานประตูด้านนี้เป็นบานประตูดั้งเดินอายุนับร้อยปี
มุขทางด้านทิศตะวันตก  ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร และที่จั่วมุขตะวันตก เขียนภาพสีเรื่องนรกภูมิ  นับเวลาที่สร้างมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลา ร้อยปีเศษ
ศาลาการเปรียญ  เป็นศาลาแบบศาลาโถง ก่ออิฐถือปูน เครื่องแบบเป็นไม้หลังคามุงกระเบื้องมีขนาดกว้าง 8.50 เมตร ยาว 12.70  เมตร ภายในมีธรรมาศก่ออิฐถือปูนยกเป็นศาลาที่มีคุณค่าทางศิลปะ สันนิษฐาน ว่าสร้าง ตั้งแต่ ครั้งปฎิสังขรณ์วัดในสมัยรัชกาลที่ 4 พร้อมอุโบสถ


บันไดขึ้นวัด
ด้านทิศใต้  เป็นบันไดรูปตัวนาค สร้างเมื่อ พ.ศ. 2471  หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ราวบันไดเป็นลำตัวนาคนั้นดูงดงาม ประดับด้วยเศษกระเบื้อง ถ้วยชามหลายสี  ตรงซุ้มประตุมาลายปูนปั้นทหารยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า
ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้  เป็นบันไดปูด้วยหิน สร้างในสมัยพระครู ศรีสุทธิญาณมุนีเป็นเจ้าอาวาส สำหรับผมบันไดด้านนี้คลาสสิกมากๆ เนื่องจากเป็นบันไดเก่าปูนด้วยหิน หากเราไปช่วงเข้าพรรษาตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยดอกเข้าพรรษาบานเหลืองสะพรั้ง และร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จนลืมความเหื่อยล้าจากการเดินขึ้นบันไดเลยเชียวครับ ต้องขอขอบพระคุณพระที่วัดที่ชี้แนะทางเส้นนี้
ท่าหินลาด  ที่ท่าน้ำวัดเขาแก้ว สมัยก่อน เมื่อยังไม่มีประตูน้ำท่าหลวงในฤดูแล้ง น้ำลดลงมากจะเป็นหินลาด เป็นพืด คล้ายภูเขาเตี้ยๆ เป็นลานกว้าง มีเจ้านายสมัยก่อนหลายพระองค์ เสด็จประพาส ณ ท่าหินลาดแห่งนี้ในพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ ทางการจะต้องนำน้ำท่าหินนี้ ไปเข้าร่วมเป็นน้ำสรงในพิธีบรมราชาภิเษกด้วย และถือว่า เป็นท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์
ข้อมูลจากบางส่วนจาก http://www.tat7.com/saraburi-touristspot-WatKhaoKaew.html

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ให้โอกาศและพื้นที่ในการเผยแพร่ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่แวะเวียนเ้ข้ามา แล้วรอพบกับกระทู้ต่อไปที่วัดสมุหประดิษฐานราม และทิ้งท้ายด้วนรูปตัวเองขอปรากฎตัวต่อหน้าสื่อบ้าง(ภาพนี้เอากล้องวางกับพื้นครับเพราะไปคนเดียวไม่มีตากล้องส่วนตัวลำบากนิดหน่อย........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น