เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี
ทริป #๕๔ (วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้
จ.สระบุรี ชมเจดีย์ห้ายอด )
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้ต้องรับภารกิจพิเศษต้องไปซื้อของเข้าบ้านที่ดอนพุดอดไปครับ
แต่ได้ออกจากบ้านที่จะต้องไปวัดและก็เหมือนกับทุกครั้งที่มาที่นี่
คือการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวัดวาอารามที่เคยไปมาและดูเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำไปเสียแล้วไม่ว่าจะเดินทางไปไหนที่มีวัด
ไม่ว่าวัดเล็กวัดใหญ่วัดใหม่วัดร้างหากมีเวลาพอในการเดินทางแต่ละครั้งสักชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นก็เอาสำหรับการเก็บภาพเพื่อมาหาข้อมูลต่อเพื่อสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาชมกระทู้
ซึ่งผมถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผม
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้วางโปรแกรมไว้สามวัด จากบ้านที่ดอนพุด
วัดแรกที่ตั้งเป็นจุดหมายแรกคือวัดเขาแก้ววรวิหาร
ส่วนวัดที่สองต้องย้อยกลับมาทางเดิมข้ามแม่น้ำป่าสักมาที่วัดสมุหประดิษฐาราม
วัดที่ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ มหินทรมหากัลยาณมิตร (โต) ต้นตระกูลกัลยาณมิตรสร้าง
แล้วออกมาเลี้ยวขวาที่สี่แยกมุ่งหน้าไปวัดจันทบุรี
ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและทรงคุณค่า
แต่สำหรับวันนี้ขอพาชม วัดเขาแก้ววรวิหาร ชม เจดีย์ 5 ยอด ศิลปะล้านนา-ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
เรามาทราบประวัติ วัดเขาแก้ว วรวิหารไปพร้อมๆกันครับ
วัดเขาแก้วเดิมเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งตั้งอยู่บนเขา
ริมแม่น้ำป่าสัก ในเขตท้องที่ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี
เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ประมาณ ปี
พ.ศ.2171 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จนมัสการพระพุทธบาทและจะเสด็จนมัสการพระพุทธฉายได้ทรงแวะพักไพร่พลขบวนราบ ณ
พลับพลาท่าหิน ลานหน้าวัดเขาแก้ว พระองค์ได้เสด็จขึ้นทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว
ทรงเลื่อมใสในภูมิฐานของวัด ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาเล็กๆ
แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามเป็นที่สงบเหมาะสำหรับการบำเพ็ญสมณะธรรม
พระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะบูรณปฏิสังขรณ์วัด นี้
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)
เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้าง เจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้จัดพวกนายกองโค
พากันไปรับไม้เครื่องบนและสิ่งก่อสร้างจากกรุงเทพฯ มาบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ
ปรับปรุงขยายให้ใหญ่กว่าเดิม
ก่อกำแพงรอบพระอุโบสถขึ้นมาใหม่
สร้างกุฏิไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์และบูรณะองค์พระเจดีย์ของเดิมเมื่อเสร็จแล้วมีพระกระแสรับสั่งให้สถาปนาวัดเขาแก้วขึ้นเป็นพระอารามหลวงพระราชทานนามว่า
“วัดคีรีรัตนาราม” เมื่อ พ.ศ.2546 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิโนรส
องค์สังฆประมุขเสด็จออกตรวจการ คณะสงฆ์จังหวัดสระบุรี เสด็จทอดพระเนตรวัดเขาแก้ว
ทรงเห็นป้ายที่ติดไว้ท่าหินลาดหน้าวัดว่า “วัดคีรีรัตนาราม”
รับสั่งว่าเป็นคำมคธ ทรงให้เรียกเป็นคำไทยว่า “วัดเขาแก้ว” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปูชนียสถาน
พระเจดีย์
ของเดิมสร้างมานานไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด เป็นเจดีย์ที่งดงามมากองค์หนึ่ง
รูปไทยทรง 5 ยอดชนิดมีเรือนทาส แบบย่อเหลี่ยมไม้สิบสองตั้งบนฐาน ทักษิณ 3 ชั้น
ประกอบด้วยซุ้มจระนำ 4 ด้าน
องค์ระฆังเป็นระฆังกลมประกอบด้วยกลุ่มปลียอดพระเจดีย์มีความสูง
35 เมตร กว้างโดยรอบ 43.40 เมตร ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
และพระธาตุสาวกตลอดจนสิ่งอันมีค่าไว้ ซึ่งปรากฏหลักฐานว่าวันดีคืนดี
มีคนได้เห็นรัศมีดวงแก้วลอยส่องสว่างบนยอดเจดีย์อยู่เสมอ
นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อันควรสักการะบูชา เพื่อเป็นสิริมงคล
พระอุโบสถ ตามทะเบียนวัดของทางราชการแจ้งว่าอุโบสถวัดนี้
ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2312
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์
พระอุโบสถขึ้นใหม่รูปลักษณะเป็นทรงไทยก่ออิฐ ถือปูน หลังคาซ้อน 2 ชั้น มุขลด 1
ขั้น
ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเป็นมุขโถงพื้นปูอิฐหน้าวัว
พื้นในพระอุโบสถปูด้วยหินอ่อน เครื่องบนเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องติดช่อฟ้า
ดินเผา บริเวณพัทธสีมา กว้าง 14 เมตร ยาว 23 เมตร มีกำแพงแก้ว ล้อมรอบ กว้า ง 18.50
เมตร ยาว 28 เมตร
พระปรางค์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ฐานทักษิณ ชั้นที่ 1
ของพระเจดีย์ สร้างโดยนายอุปอะปานนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2413 สมัยพระครูศรีวิสุทธิญาณมุนี เป็นเจ้าอาวาส
มีรูปลักษณะ เป็นปรางค์ 5 ยอด มี 3 มุข
มุขกลางด้านทิศใต้
ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง
มุขทางด้านทิศตะวันออก
ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ที่จั่วด้านในของมุขเขียนภาสีเรื่องอสุภกรรมฐาน
และธุดงค์วัตร
เสียดายไม่ได้ดก็บภาพมาฝาก
และต้องขอขอพระคุณพระที่วัดที่แนะนำว่าบานประตูด้านนี้เป็นบานประตูดั้งเดินอายุนับร้อยปี
มุขทางด้านทิศตะวันตก ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
และที่จั่วมุขตะวันตก เขียนภาพสีเรื่องนรกภูมิ
นับเวลาที่สร้างมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลา ร้อยปีเศษ
ศาลาการเปรียญ เป็นศาลาแบบศาลาโถง ก่ออิฐถือปูน
เครื่องแบบเป็นไม้หลังคามุงกระเบื้องมีขนาดกว้าง 8.50 เมตร ยาว 12.70 เมตร
ภายในมีธรรมาศก่ออิฐถือปูนยกเป็นศาลาที่มีคุณค่าทางศิลปะ สันนิษฐาน ว่าสร้าง
ตั้งแต่ ครั้งปฎิสังขรณ์วัดในสมัยรัชกาลที่ 4 พร้อมอุโบสถ
บันไดขึ้นวัด
ด้านทิศใต้ เป็นบันไดรูปตัวนาค สร้างเมื่อ พ.ศ. 2471 หล่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
ที่ราวบันไดเป็นลำตัวนาคนั้นดูงดงาม ประดับด้วยเศษกระเบื้อง ถ้วยชามหลายสี ตรงซุ้มประตุมาลายปูนปั้นทหารยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้า
ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นบันไดปูด้วยหิน สร้างในสมัยพระครู
ศรีสุทธิญาณมุนีเป็นเจ้าอาวาส สำหรับผมบันไดด้านนี้คลาสสิกมากๆ
เนื่องจากเป็นบันไดเก่าปูนด้วยหิน
หากเราไปช่วงเข้าพรรษาตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยดอกเข้าพรรษาบานเหลืองสะพรั้ง
และร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จนลืมความเหื่อยล้าจากการเดินขึ้นบันไดเลยเชียวครับ
ต้องขอขอบพระคุณพระที่วัดที่ชี้แนะทางเส้นนี้
ท่าหินลาด ที่ท่าน้ำวัดเขาแก้ว สมัยก่อน
เมื่อยังไม่มีประตูน้ำท่าหลวงในฤดูแล้ง น้ำลดลงมากจะเป็นหินลาด เป็นพืด
คล้ายภูเขาเตี้ยๆ เป็นลานกว้าง มีเจ้านายสมัยก่อนหลายพระองค์ เสด็จประพาส ณ
ท่าหินลาดแห่งนี้ในพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์ ทางการจะต้องนำน้ำท่าหินนี้
ไปเข้าร่วมเป็นน้ำสรงในพิธีบรมราชาภิเษกด้วย และถือว่า เป็นท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์
ข้อมูลจากบางส่วนจาก http://www.tat7.com/saraburi-touristspot-WatKhaoKaew.html
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ให้โอกาศและพื้นที่ในการเผยแพร่ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่แวะเวียนเ้ข้ามา
แล้วรอพบกับกระทู้ต่อไปที่วัดสมุหประดิษฐานราม
และทิ้งท้ายด้วนรูปตัวเองขอปรากฎตัวต่อหน้าสื่อบ้าง(ภาพนี้เอากล้องวางกับพื้นครับเพราะไปคนเดียวไม่มีตากล้องส่วนตัวลำบากนิดหน่อย........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น