วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริปที่ # ๘๘ ไหว้หลวงพ่อเก้าห้องปิดทองพระพุทธบาทไม้ตะเคียน วัดลานคา สุพรรณบุรี


สวัสดีสมาชิกทุกๆท่านเอาเรื่องราววัดวามาฝากเหมือนทุกๆครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าสมาชิกหลายๆท่านจะเบื่อกันหรือไม่ไม่รู้
แต่ก็คงจะต้องทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีแรงหรือหมดมุขก็แล้วกัน วันนี้เป็นทริปที่เป็นผลพลอยได้จากทริปไหว้พระครั้งที่ ๙ กับสมาชิกกลุ่มธนบุรีและบางกรวยซึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีการในทริปแล้วผมและสมาชิกบางส่วนก็เดินทางมาที่วัดลานคาเพื่อมาสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองไม้ตะเคียน
     วัดลานคาเป็นวัดราษฏร์ ตั้งอยู่เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๓ ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า ตามหลักฐานที่สืบค้นได้วัดนี้ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๖๔ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๔๖๒ วัดลานคาเดิมชื่อวัดจำปาตั้งอยู่บนที่ดอนซึ่งห่างจากที่ตั้งวัดในปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปประมาร ๘๐๐ เมตร เนื่องจากสมัยก่อนชาวบ้านย่านตลาดจะเดินทางสัญจรโดยทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ พระสงฆ์และชาวบ้านย่านตลาดจึงช่วยกันย้ายวัดใหม่มาตั้งที่ริมแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดในปัจจุบันเดิมทีบริเวณนี้ตามประวัติคำบอกเล่าที่บริเวณนี้เป็นที่รกร้างเต็มไปด้วยต้นไม้และหญ้าขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะหญ้าคาด้วยเหตุนี้ชาวจึงลงความเห็นกันว่าจะเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็นวัดลานหญ้าคา ตามลักษณะภูมิประเทศที่ตั้งวัด ต่อมานานเข้าจึงมาชื่อเรียกชื่อวัดสั้นลงว่าวัดลานคา ส่วนวัดจำปานั้นในปัจจุบันยังคงหลงเหลือร่องรอยวัดโดยมีเจดีย์และบ่อน้ำปรากฏอยู่


ส่วนประวัติวัดที่เกี่ยวข้องกับประติศาสตร์นั้นมีประวัติกล่าวว่าวัดจำปาหรือวัดลานคานี้สร้างโดยชาวพวนที่อพยพมาจากประเทศลาวซึ่งเป็นพวกแรกๆ ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยในช่วงสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนปี พ.ศ.๒๓๑๐ หรือช่วงสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.๒๓๒๒ หรือช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นสมัยรัชกาลที่ ๑ ราวปีพ.ศ.๒๓๓๕

     ประวัติพระพุทธเจ้าเก้าห้องพิชิตมาร(หลวงพ่อเก้าห้อง) เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวตลาดเก้าห้องให้ความเคารพนับถือ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยเดิมชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อดำหรือหลวงพ่อหิน ตามพุทธลักษณะขององค์พระซึ่งนายวันดี หรือขุนกำแหงในเวลาต่อมาผู้นำเชลยศึกชาวลาวพวนอพยพจากเมืองเชียงขวางประเทศลาวหลังจากที่พระเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้สงครามปลดแอกเอกราชลาว ดิอัญเชิญประดิษฐานมาบนเกวียนเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอันสูงสุด ในการนำชาวลาวพวนอพยพฝันฝ่าอุปสรรคในการเดินทางเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแผ่นดินสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์(โดยอ้างอิงจากบทความบันทึกประวัติศาสตร์ประเทศลาว)
     ต่อมาหลังจากที่นายวันดีหรือขุนกำแหงนำชาวบ้านอพยพมาตั้งถิ่นฐานเป็นปึกแผ่นมั่นคง ณ.อาณาบริเวณแห่งนี้จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปนี้มาประดิษฐานยังวัดลานคา ซึ่งเป็นวัดที่ชาวลาวพวนได้สร้างไว้ก่อนแล้วก่อนการอพยพของนายวันดีและชาวบ้านลาวพวน การอพยพของชาวลาวพวนมีอยู่หลายคณะโดยคณะของนายวันดีน่าจะเป็นคณะที่สาม เพื่อมีพระพุทธรูปองค์นี้ไว้เป็นที่สักการบูชาและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
     ต่อมาด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้องค์พระพุทธรูปชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จึงได้มีการบูรณะองค์พระพุทธรูปนี้ขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ. ๒๕๕๐ จนเป็นองค์พระที่สมบูรณ์และมีพุทธลักษณะที่งดงานอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันและได้ถวายพระนามใหม่แก่พระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธเจ้าเก้าห้องพิชิตมาร” หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าหลวงพ่อเก้าห้อง เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชาวบ้านเก้าห้องและเป็นที่ระลึกถึงนายวันดีและเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาวลาวพวนบ้านเก้าห้องสุพรรณบุรี พร้อมกันนี้ได้รวบรวมปัจจัยในการสร้างศาลาเพื่อประดิษฐานหลวงพ่อเก้าห้อง โดยได้นิมนต์พระครูธรรมสรคุณหรือหลวงพ่อเขียน วัดกระทิง อ.เขาคิชฌกูฏ จันทบุรี มาเป็นประธานในพิธีเปิดศาลาเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายา พ.ศ. ๒๕๕๔
     ประวัติรอยพระพุทธบาทจำลองไม้ตะเคียนแกะสลัก


     ไม้ตะเคียนที่นำมาแกะสลักเป็นรอยพระพุทธบาทจำลองนี้ จากคำบอกเล่าของผู้ที่นำมาถวายได้บอกว่าเป็นเพียงกิ่งของไม้ตะเคียนที่ถูกตัดทิ้งให้จมอยู่ในดินทรายอยู่เป็นเวลานาน ส่วนลำต้นของไม้ตะเคียนนี้มีผู้บอกต่อกันมาว่า ได้นำไปสร้างวัดแห่งหนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ได้ให้ความเห็นว่าไม้นี้อายุราว 500-1000 ปี เนื่องจากไม้ตะเคียนเป็นไม้ที่มีอายุยืนมาก ซึ่งแหล่งที่ขุดพบได้แก่ลำน้ำลำตะเพิน ต.ลาดหญ้า  อ.เมืองกาญจนบุรี เนื่องจากเป็นไม้ตะเคียนโบราณจึงไม่มีใครประสงค์ที่จะเก็บไว้เป็นเจ้าของจึงได้มอบต่อๆกันมาจนถึงนายปัณญวัฒน์ จันทร์ตรีกิติกุล (ชื่อสกุลเดิม  สุนัย จันทร์ตรี) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรีในขณะนั้นได้นำมาถวายวัดลานคา มีผู้รู้ได้แนะนำว่าไม้ตะเคียนเป็นไม้ที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์สมควรที่จะแกะเป็นรอยพระพุทธบาทจำลอง เพื่อเป็นที่สัดการะบูชาของประชาชนทั้งหลาย ทางวัดลานคาจึงได้เชิญช่างมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาดูแลและมอบไม้ตะเคียนนี้นำไปแกะสลักเป็นรอยพระพุทธบาทลายนูนต่ำ โดยเริ่มแกะสลักเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ แล้วเสร็จในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ในปีเดียวกัน เมื่อแกะเป็นรอยพระพุทธบาทจำลองแล้วมีขนาดความยาว ๓ เมตร ๘๗ เซนติเมตร ความกว้าง ๘๓ เซนติเมตร มีรูปพญานาครักษาอยู่มุมทั้งสี่ด้าน และได้มีการทำพิธีบวงสรวงและได้แห่อัญเชิญมายังวัดลานคาแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ทั้งได้อาราธนาพระเถระจากพระอารามต่างๆ มาประกอบพิธีและเจริญชัยมงคลคาถาในการอัญเชิญครั้งนี้ด้วย

    


นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ประดิษฐานอยู่ในวัดนี้แล้วที่ทำให้ผู้รู้สึกดีใจมากๆก็คือลูกหลานของชาวเก้าห้องที่ได้รับการปลูกฝังเรื่องราวที่ดีต่างๆของท้องถิ่นและบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองนี้คือสิ่งที่ผมอยากเห็นลูกหลานของเราสืบทอดสิ่งดีๆสืบต่อไป ขอบคุณสหายทุกท่านที่ติดตามกระทู้ของผมตลอดมา







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น