วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี ทริปที่ # ๙๐ ไหว้หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต

สวัสดีสมาชิกทุกๆท่านสำหรับกระทู้นี้ต่อจากกระทู้ที่ ๘๙ ทริปนี้ยังอยู่กันที่ภูเก็ตและหากว่ามาภูเก็ตแล้วไม่ได้มาไหว้หลวงพ่อแช่มก็คงเสียเที่ยวเปล่า ผมจึงไม่พลาดที่จะมากไหว้หลวงพ่อแช่ม วัดฉลองเรามาทราบประวัติวัดและประวัติหลวงพ่อแช่มไปพร้อมๆกันครับ
วัดไชยธาราราม เดิมชื่อ วัดฉลอง ตั้งอยู่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ห่างจากอำเภอเมืองภูเก็ต ระยะทาง 8 กิโลเมตร ทางหลวงหมายเลข 4021 ผ่านสนามกีฬาสุระกุล เลี้ยวซ้ายไปห้าแยกฉลอง สมัยรัชกาลที่ 5 พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม) เป็นเจ้าอาวาส มีชื่อเสียงการปรุงสมุนไพร และรักษาโรค เข้าเฝือกผู้ป่วยกระดูกหัก ปัจจุบันพระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี ได้มรณภาพแล้ว เจ้าอาวาสวัดสัมโพธิหาร (วัดสัมโพธิหาร เดิมชื่อ วัดป่าอรัญนิรมล ประเทศศรีลังกา) ได้กล่าวว่า พระบรมสารีริกธาตุที่ได้มอบให้วัดไชยธาราราม เคยอยู่ในเจดีย์ของเมืองอนุราชปุระ เมืองหลวงเดิมของศรีลังกา มีอายุกว่า 2,200 ปี มาแล้ว


วโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 72 พรรษา พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของศรีลังกาคือ พระปิยะทัสสะ นายะกะเถโร และพระกุศลาธรรมา แห่งวัดสัมโพธิวิหาร ได้มีหนังสือกราบทูลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จเยือนศรีลังกา เพื่อรับการถวายพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ พลเอก มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปรับพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดสัมโพธิวิหาร ประเทศศรีลังกา และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับมาถึงประเทศไทย พ.ศ. 2543 สมเด็จพระสังฆราชได้ประทาน พระบรมสารีริกธาตุอัญเชิญมาจากศรีลังกา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พุทธบริษัทในจังหวัดภูเก็ตและบริเวณฝั่งอันดามัน
ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง เรื่องพระครูวัดฉลอง พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ หนังสือนิทานโบราณคดี (นิทานที่ ๒) สำนักพิมพ์ คลังวิทยา กรุงเทพฯ/ พ.ศ.๒๕๑๗ เมืองภูเก็ตเดิมขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม จนเมื่อฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว จึงได้โอนมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย ฉันลงไปตรวจราชการหัวเมืองมณฑลภูเก็ตครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลาฉันพักอยู่ที่เมืองภูเก็ต พระครูวิสุทธิวงศาจารย์เป็นที่สังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อยู่ ณ วัดฉลองมาหา พอฉันแลเห็นก็เกิดพิศวง ด้วยที่หน้าแข้งของท่านมีรอยปิดทองคำเปลวแผ่นเล็ก ๆ ระกะไปราวกับพระพุทธรูปหรือเทวรูปโบราณที่คนบนบาน เมื่อพูดจาปราศรัยดูก็เป็นผู้มีกิริยาอัชฌาสัยเรียบร้อยอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ เวลานั้นดูเหมือนจะมีอายุได้สัก ๖๐ ปี
ฉันถามท่านว่า "เหตุไฉนจึงปิดทองที่หน้าแข้ง"
ท่านตอบว่า "เมื่ออาตมาภาพเข้ามาถึงในเมือง พวกชาวตลาดเขาขอปิด"
ฉันได้ฟังอย่างนั้นก็เกิดอยากรู้ ว่าเหตุใดคนจึงปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง จึงสืบถามเรื่องประวัติของท่าน ได้ความตามที่ตัวท่านเองเล่าให้ฟังบ้าง ข้าราชการเมืองภูเก็ต ที่เขารู้เห็นเล่าให้ฟังบ้าง เป็นเรื่องประหลาดดังจะเล่าต่อไปนี้


ท่านพระครูองค์นี้ชื่อ แช่ม เป็นชาวบ้านฉลอง อยู่ห่างเมืองภูเก็ตสักสามสี่ร้อยเส้น เดิมเป็นลูกศิษย์พระอยู่ในวัดฉลองมาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้นเติบใหญ่บวชเป็นสามเณรเล่าเรียนอยู่ในวัดนั้น จนอายุครบอุปสมบทก็บวชเป็นพระภิกษุ เรียนวิปัสสนาธุระและคาถาอาคมต่าง ๆ ต่อมาจนมีพรรษาอายุมากได้เป็นสมภารวัดฉลอง เรื่องประวัติแต่ต้นจนตอนนี้ไม่แปลกอย่างไร มาเริ่มมีอภินิหารเป็นอัศจรรย์เมื่อเกิดเหตุ ด้วยพวกจีนกรรมกรทำเหมืองแร่ที่เมืองภูเก็ตเป็นกบฏ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ (ดังจะมีเรื่องปรากฏในนิทานที่ ๑๕ ต่อไปข้างหน้า) เวลานั้นรัฐบาลไม่มีกำลังพอจะปราบปรามพวกจีนกบฏให้ราบคาบ ได้แต่รักษาตัวเมืองไว้ ตามบ้านนอกออกไป พวกจีนเที่ยวปล้นสะดมฆ่าฟันผู้คนได้ตามชอบใจ ไม่มีใครต่อสู้ จึงเป็นจลาจลทั่วไปทั้งเมืองภูเก็ต เรื่องที่เล่าต่อไปตอนนี้ เขียนตามคำท่านพระครูวัดฉลองเล่าให้ฟังเอง ว่าเมื่อได้ข่าวไปถึงบ้านฉลองว่ามีจีนจะออกไปปล้น พวกชาวบ้านกลัวพากันอพยพหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามบนภูเขาโดยมาก เวลานั้นมีชายชาวบ้านที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านสักสองสามคนไปชวนให้ท่านหนีไปด้วย แต่ท่านตอบว่า "ข้าอยู่ในวัดนี้มาตั้งแต่แต่ยังเป็นเด็กจนอายุถึงปานนี้แล้ว ทั้งเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ด้วย จะทิ้งวัดไปเสียอย่างไรได้ พวกสูจะหนีก็หนีเถิด แต่ข้าไม่ไปละ จะต้องตายก็จะตายอยู่ในวัดอย่าเป็นห่วงข้าเลย" พวกลูกศิษย์อ้อนวอนเท่าใด ท่านก็ยืนคำอยู่อย่างนั้น เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่ยอมทิ้งวัดไปก็พูดกันว่า
"เมื่อขรัวพ่อไม่ไป พวกผมก็จะอยู่เป็นเพื่อน แต่ขออะไรพอคุ้มตัวสักอย่างหนึ่ง"
ท่านจึงเอาผ้าขาวมาลงยันต์เป็นผ้าประเจียดแจกให้คนละผืน พวกนั้นไปเที่ยวเรียกหาเพื่อน ได้คนเพิ่มเติมมารวมกันสัก ๑๐ คน เชิญตัวท่านให้ลงไปอยู่ที่ในโบสถ์ พวกเขาไปเที่ยวหาเครื่องศัสตราวุธสำหรับตัว แล้วพากันมาอยู่ที่ในวัดฉลอง พออีกสองวันจีนพวกหนึ่งก็ออกไปปล้น แต่พวกจีนรู้ว่าชาวบ้านหนีไปเสียโดยมากแล้ว เดินไปโดยประมาทไม่ระวังตัว พวกไทยแอบเอากำแพงแก้วรอบโบสถ์บังตัว พอพวกจีนไปถึง ก็ยิงเอาแตกหนีไปได้โดยง่าย พอมีข่าวว่าพวกลูกศิษย์ท่านวัดฉลองรบชนะจีน ชาวบ้านฉลองที่หนีไปซุกซ่อนอยู่ตามภูเขาก็พากันกลับมาบ้านเรือน ที่เป็นผู้ชายก็ไปหาท่านวัดฉลอง ขอรับอาสาว่า ถ้าพวกจีนยกไปอีกจะช่วยรบ แต่ท่านตอบว่า "ข้าเป็นพระเป็นสงฆ์ จะรบฆ่าฟันใครไม่ได้ สูจะรบพุ่งอย่างไรก็ไปคิดอ่านกันเองเถิด ข้าจะให้แต่เครื่องคุณพระ สำหรับป้องกันตัว"
คนเหล่านั้นไปเที่ยวชักชวนกันรวมคนได้กว่าร้อยคน ท่านวัดฉลองก็ลงผ้าประเจียดแจกให้ทุกคน พวกนั้นนัดกันเอาผ้าประเจียดโพกหัวเป็นเครื่องหมาย ทำนองอย่างเครื่องแบบทหาร พวกจีนเลยเรียก "อ้ายพวกหัวขาว" จัดกันเป็นหมวดหมู่มีตัวนายควบคุม แล้วเลือกที่มั่นต้องกองรายกัน เอาวัดฉลองเป็นที่บัญชาการคอยต่อสู้พวกจีน ในไม่ช้าพวกจีนก็ยกไปอีก คราวนี้ยกกันไปก็มากกว่าครั้งก่อน พวกจีนยกไปถึงบ้านฉลองในตอนเช้า พวกไทยเป็นแต่คอยต่อสู้อยู่ในที่มั่นเอาปืนยิงกราดไว้ พวกจีนเข้าไปในหมู่บ้านฉลองไม่ได้ ก็หยุดยั้งอยู่ภายนอก ต่างยิงโต้ตอบกันทั้งสองฝ่ายจนเวลาตะวันเที่ยง พวกจีนหยุดรบไปกินข้าวต้มพวกไทยได้ทีก็เข้ารุมล้อมไล่ยิงพวกจีน ในเวลากำลังสาละวนกินอาหาร ประเดี๋ยวเดียวพวกจีนก็ล้มตายแตกหนีกระจัดกระจายไปหมด ตามคำท่านพระครูว่า"จีนรบสู้ไทยไม่ได้ ด้วยมันต้องกินข้าวต้ม พวกไทยไม่ต้องกินข้าวต้มจึงเอาชนะได้ง่าย ๆ " แต่นั้นพวกจีนก็ไม่กล้าไปปล้นบ้านฉลองอีก เป็นแต่พวกหัวหน้าประกาศตีราคาศีรษะท่านวัดฉลอง ถ้าใครตัดเอาไปให้ได้จะให้เงินสินบน ๑,๐๐๐ เหรียญ ชื่อท่านวัดฉลองก็ยิ่งโด่งดังหนักขึ้น เมื่อรัฐบาลปราบจีนกบฏราบคาบแล้ว ยกเอาความชอบของเจ้าอธิการแช่ม วัดฉลอง ที่ได้เป็นหัวหน้าในต่อสู้พวกจีนกบฏในครั้งนั้น ประจวบเวลาตำแหน่งพระครูสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ตว่างอยู่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตั้งให้เป็นที่ พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ตแต่นั้นมา


แต่ทางฝ่ายชาวเมืองภูเก็ตเชื่อว่า ที่ชาวบ้านฉลองรบชนะพวกจีน เพราะท่านพระครูวัดฉลองมีอิทธิฤทธิ์ในทางวิทยาคม ก็นับถือกันเป็นอย่างผู้วิเศษทั่วทั้งจังหวัด เรื่องที่เล่ามาเพียงนี้เป็นชั้นก่อนเกิดการปิดทองท่านพระครูวัดฉลองมูลเหตุที่จะปิดทองนั้น เกิดขึ้นเมื่อคนนับถือท่านพระครูวัดฉลองว่าเป็นผู้วิเศษแล้ว ด้วยครั้งหนึ่งมีชาวเมืองภูเก็ตสักสี่ห้าคน ลงเรือลำหนึ่งไปเที่ยวตกเบ็ดในทะเล เผอิญไปถูกพายุใหญ่จนจวนเรือจะอับปาง คนในเรือพากันกลัวตาย คนหนึ่งออกปากบนเทวดาอารักษ์ที่เคยนับถือขอให้ลมสงบ พายุก็กลับกล้าหนักขึ้น คนอื่นบนสิ่งอื่นที่เคยนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ลมก็ไม่ซาลง จนสิ้นคิดมิรู้ที่จะบนบานอะไรต่อไป มีคนหนึ่งในพวกนั้นก็ออกปากบนว่าถ้ารอดชีวิตได้ จะปิดทองขรัวพ่อวัดฉลอง พอบนแล้วลมพายุซาลงทันที พวกคนหาปลาเหล่านั้นรอดกลับมาได้ จึงพากันไปหาท่านพระครูขออนุญาตปิดทองแก้สินบน ท่านพระครูว่า
"ข้าไม่ใช่พระพุทธรูป จะทำนอกรีตมาปิดทองคนเป็น ๆ อย่างนี้ข้าไม่ยอม"
แต่คนหาปลาโต้ว่า "ก็ผมบนไว้อย่างนั้น ถ้าขรัวพ่อไม่ยอมให้ผมปิดทองแก้สินบน ฉวยแรงสินบนทำให้ผมเจ็บล้มตาย ขรัวพ่อจะว่าอย่างไร" ท่านพระครูจนถ้อยคำสำนวน ด้วยตัวท่านก็เชื่อเรื่องแรงสินบน เกรงว่าถ้าเกิดเหตุร้ายแก่ผู้บน บาปจะตกแก่ตัวท่านก็ต้องยอม จึงเอาน้ำมาลูบขา แล้วยื่นออกไปให้ปิดทองคำเปลวที่หน้าแข้ง แต่ให้ปิดเพียงแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งพอเป็นกิริยาบุญ พอคนบนกลับแล้วก็ล้างเสียแต่เมื่อกิตติศัพท์เล่าลือกันไปว่า มีชาวเรือรอดตายได้ด้วยบนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง ก็มีผู้อื่นเอาอย่าง ในเวลาเจ็บไข้หรือเกิดเหตุการณ์ กลัวจะเป็นอันตราย ก็บนปิดทองท่านพระครูวัดฉลองบ้าง ฝ่ายท่านพระครูมิรู้ที่จะขัดขืนอย่างไร ก็จำต้องยอมให้ปิด จึงเกิดประเพณีปิดทองท่านพระครูวัดฉลองขึ้นด้วยประการฉะนี้
ตัวท่านเคยบอกกับฉันว่า ที่ถูกปิดทองนั้นอยู่ข้างรำคาญ ด้วยคันผิวหนังตรงที่ทองปิด จนล้างออกเสียแล้วจึงหาย แต่ก็ไม่กล้าขัดขวางคนขอปิดทอง เพราะฉะนั้นท่านพระครูเข้าไปในเมืองเมื่อใด พวกที่ได้บนบานไว้ ใครรู้เข้าก็ไปคอยดักทาง ขอปิดทองแก้สินบน คล้ายกับคอยใส่บาตร ท่านพระครูเห็นคนคอยปิดทองร้องนิมนต์ ก็ต้องหยุดให้เขาปิดทองเป็นระยะไปตลอดทาง วันนั้นท่านกำลังจะมาหาฉัน ไม่มีเวลาล้าง ทองจึงติดหน้าแข้งมาให้ฉันเห็น ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อวันนั้น ท่านพระครูวัดฉลองกับฉันก็เลยชอบกันมาก ท่านเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อใดก็มาหาฉันไม่ขาด เคยทำผ้าประเจียดมาให้ฉัน ฝีมือเขียนงามดีมาก ฉันไปเมืองภูเก็ตเมื่อใด ก็ไปเยี่ยมท่านถึงวัดฉลองทุกครั้ง การที่คนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง เป็นแรกที่จะเกิดประเพณีปิดทองคนเป็น ๆ เหมือนเช่นพระพุทธรูปหรือเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นธรรมดาที่กิตติศัพท์จะเลื่องลือระบือเกียรติคุณของท่านพระครูวัดฉลองแพร่หลาย จนนับถือกันทั่วไปทุกหัวเมือง ทางทะเลตะวันตก ใช่แต่เท่านั้น แม้จนในเมืองปีนังอันเป็นอาณาเขตของอังกฤษ คนก็พากันนับถือท่านพระครูฉลอง เพราะที่เมืองปีนัง พลเมืองมีไทยและจีนเชื้อสายไทย ผู้ชายเรียกกันว่า "บาบ๋า" ผู้หญิงเรียกกันว่า "ยอหยา" ล้วนถือพระพุทธศาสนาอยู่เป็นอันมาก เขาช่วยกันสร้างวัดและนิมนต์พระสงฆ์ไทยไปอยู่ก็หลายวัดแต่ในเมืองปีนังไม่มีพระเถระ
พวกชาวเมืองทั้งพระและคฤหัสถ์ จึงสมมุติท่านพระครูวัดฉลองให้เป็นพระมหาเถระสำหรับเมืองปีนัง ถ้าสร้างโบสถ์ใหม่ก็นิมนต์ให้ไปผูกพัทธสีมา ถึง ฤดูบวชนาคเมื่อก่อนเข้าพรรษา ก็นิมนต์ให้ไปนั่งเป็นอุปัชฌาย์บวชนาค และที่สุดแม้พระสงฆ์เกิดอธิกรณ์ ก็นิมนต์ให้ไปไต่สวนพิพากษา ท่านพระครูพิพากษาว่าอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ขาด จึงเป็นอย่างสังฆปาโมกข์เมืองปีนังด้วยอีกเมืองหนึ่ง ผิดกับเมืองภูเก็ต เพียงเป็นด้วยส่วนตัวท่านเอง มิใช่ในทางราชการ ด้วยในสมัยนั้นยังไม่มีทางรถไฟ ชาวกรุงเทพฯ กับชาวเมืองปีนังยังห่างเหินกันมาก แต่มีเรือเมล์ไปมาในระหว่างเมืองปีนังกับเมืองภูเก็ตทุกสัปดาห์ ไปมาหากันได้ง่าย ท่านพระครูวัดฉลองอยู่มาจนแก่ชรา อายุเห็นจะกว่า ๘๐ ปี จึงมรณภาพ



เมื่อฉันออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว ไม่ได้ไปเมืองภูเก็ตมาช้านาน จนถึงรัชกาลที่ ๗ ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปเมืองภูเก็ตอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ เวลานั้นท่านพระครูฉลองถึงมรณภาพเสียนานแล้ว ฉันคิดถึงท่านพระครู จึงเลยไปที่วัดฉลองด้วย ในคราวนี้สะดวก ด้วยเมืองภูเก็ตมีถนนรถยนต์ไปได้หลายทาง รถยนต์ไปครู่เดียวก็ถึงวัดฉลอง เห็นวัดครึกครื้นขึ้นกว่าเคยเห็นแต่ก่อนจนแปลกตา เป็นต้นว่ากุฎีเจ้าอาวาสที่ท่านพระครูเคยอยู่ ก็กลายเป็นตึกสองชั้น กุฎีพระสงฆ์และศาลาที่ก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นก็มีอีกหลายหลัง เขาบอกว่ามีผู้สร้างถวายท่านพระครูเมื่อภายหลัง แต่เมื่อมีผู้ไปสร้างสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ท่านพระครูไม่ยอมให้แก้ไขในบริเวณโบสถ์ที่ท่านเคยลงไปอยู่เมื่อต่อสู้พวกจีน กำแพงแก้วที่พวกลูกศิษย์เคยอาศัยบังตัวรบจีนครั้งนั้นก็ไม่ให้รื้อแย่งแก้ไข ยังคงอยู่อย่างเดิม
ที่ในกุฏิของท่านพระครูเขาตั้งโต๊ะที่บูชาไว้ มีรูปฉายของท่านพระครูขยายเป็นขนาดใหญ่ใส่กรอบอย่างลับแล ตั้งไว้เป็นประธาน บนโต๊ะนั้น มีรอยคนปิดทองแก้สินบนที่กระจกเต็มไปหมดทั้งแผ่นเหลือ เป็นช่องว่างอยู่แต่ที่ตรงหน้าท่านพระครู ดูประหลาดที่ยังชอบบนปิดทองท่านพระครูอยู่ จนเมื่อท่านล่วงลับไปนานแล้วไม้เท้าของท่านพระครูที่ชอบถือติดมือ ก็เอาวางไว้ข้างหน้ารูปและมีรอยปิดทองด้วยไม้เท้าอันนี้ก็มีเรื่องแปลกอยู่ พวกกรมการเมืองภูเก็ตเขาเคยเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่ท่านพระครูยังอยู่ ว่ามีเด็กผู้หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งในเมืองภูเก็ต เป็นคนมีนิสัยชอบพูดอะไรเล่น โลน ๆ ครั้งหนึ่งเด็กคนนั้นเจ็บ ออกปากบนตามประสาโลนว่า ถ้าหายเจ็บจะปิดทองตรงที่ลับของขรัวพ่อวัดฉลอง ครั้นหายเจ็บถือว่าพูดเล่นก็เพิกเฉยเสีย อยู่มาไม่ช้า เด็กคนนั้นกลับเจ็บไปอีก คราวนี้เจ็บมาก หมอรักษาอาการก็ไม่คลายขึ้น พ่อแม่สงสัยจะเป็นด้วยถูกผีหรือด้วยแรงสินบน ถามตัวเด็กว่า มันได้บนบานไว้บ้างหรือไม่ แต่แรกตัวเด็กละอาย ไม่รับว่าได้บนไว้เช่นนั้น จนทนอาการเจ็บไม่ไหว จึงบอกความตามจริงให้พ่อแม่รู้ ก็พากันไปเล่าให้ท่านพระครูฟัง แล้วปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไรดี ท่านพระครูว่า บนอย่างลามกเช่นนั้นใครจะยอมให้ปิดทองได้ ข้างพ่อแม่เด็กก็เฝ้าอ้อนวอนด้วยกลัวลูกจะเป็นอันตราย ท่านพระครูมิรู้ที่จะทำประการใด จึงคิดอุบายเอาไม้เท้าอันนั้นสอดเข้าไปใต้ที่นั่ง แล้วให้เด็กปิดทองที่ปลายไม้เท้า ผู้เล่าว่า พอแก้สินบนแล้วก็หายเจ็บ ฉันได้ถามท่านพระครูว่าเคยให้เด็กหญิงปิดทองปลายไม้เท้าแก้สินบนจริงหรือ ท่านเป็นแต่ยิ้มอยู่ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ จึงนึกเห็นจะเป็นเรื่องจริงดังเขาเล่า
เรื่องพระครูวัดฉลอง ยังได้เห็นอัศจรรย์ต่อมาอีก เมื่อฉันไปอยู่เมืองปีนังใน พ.ศ. ๒๔๗๗ ไปที่วัดศรีสว่างอารมณ์ เห็นมีรูปฉายท่านพระครูวัดฉลองเข้ากรอบลับแล ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องบูชาข้างพระประธานที่ในโบสถ์ และมีรอยปิดทองแก้สินบนเต็มไปทั้งแผ่นกระจก เช่นเดียวกับที่เมืองภูเก็ต เดี๋ยวนี้รูปนั้นก็ยังอยู่ที่วัดศรีสว่างอารมณ์ดูน่าพิศวง พิเคราะห์ตามเรื่องประวัติเห็นว่าควรนับว่าพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ (แช่ม) วัดฉลอง เป็นอัจฉริยบุรุษได้คนหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้


อีกจุดหนึ่งในวัดที่มีชาวบ้านวนเวียนเข้าออกเป็นจำนวนมาก เป็นวิหารเล็กๆชื่อว่า”วิหารหลวงพ่อเจ้าวัด ภายในวิหารหลวงพ่อเจ้าวัด จะมีอุโบสถ์หลังเล็กภายในจะเป็นที่ประดิษฐ์สถานรูปปั้นของพระประธานและมีรูปปั้นอีก2ตัวขนาบข้าง คือ ท้าวนนทรี เป็นรูปปั้นยักษ์ยืนอยู่ทางเบื้องซ้าย ส่วนทางด้านขวามีรูปปั้นตาแก่นั่งสูบบุหรี่ เรียกว่า ตาขี้เหล็ก เล่ากันว่าตอนที่สร้างโบสถ์เสร็จ มีปูนเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ช่างนึกสนุกจึงนำปูนมาปั้นเป็นรูปตาแก่คู่กับองค์หลวงพ่อเจ้าวัดและยักษ์ท้าวนนทรีตั้งแต่บันนั้นเป็นต้นมา ประชาชนนิยมบนตาขี้เหล็กด้วยหมากพลูและบุหรี่มาจนทุกวันนี้



สำหรับวันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนครับแต่เรื่องราวและความดีต่างๆที่เกี่ยวกับหลวงพ่อแช่ม วัดฉลองยังมีอีกมากมายที่ชาวภูเก็ตเล่าขานสืบต่อกันมาชั่วลูกหลานสืบไป สำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้ที่ประกอบแต่กรรมดีการกระทำที่ดีต่อสังคมและผู้อื่น แม้ว่าตัวท่านจะจากไปนานแล้วแต่ความดีของท่านก็ยังคงอยู่ หวังว่าสมาชิกทุกท่านเลือกที่จะเดินในแนวทางที่เหมาะสมและถูกต้องครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น