เที่ยววัดกับขุนอภัยภักดี
ทริป # ๑๔ ( วัดสามวิหาร พระนครศรีอยุธยา
)
เนื่องด้วยช่วงนี้ยุ่งอยู่กับภาระกิจจัดกองผ้าป่าที่จะสร้างพระไปถวายที่สำนักสงฆ์หนองชงโค
ที่โคราช ในวันอาทิตย์ที่ 27 มี.ค. นี้ เลยไม่ค่อยจะได้Update
ทริปสักเทาไร วันนี้จะพาไปชมพระนอนวัดสามวิหาร พระนครศรีอยุธยา
โดยวัดนี้เป็นวัดเก่าวัดหนึ่งในพระนครศรีอยุธยา
ตั้งอยู่ที่ตำบลหัวรอ
อำเภอพระนครศรีอยุธยา
นอกกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
คนละฝั่งลำน้ำลพบุรี วัดสามวิหารมีชื่อเรียกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ว่า วัดสามพิหาร แต่จะสร้างขึ้นเมื่อใดนั้นไม่ได้กล่าวถึง
ที่มีชื่อปรากฏในพงศาวดารก็เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา
โดยเฉพาะในเหตุการณ์สงครามซึ่งฝ่ายข้าศึกมักจะเข้ามาใช้เป็นที่ตั้งค่ายบ้าง ใช้เป็นที่บัญชาการทหารเข้าตีพระนครบ้าง
ทั้งนี้เพราะที่ตั้งวัดสามวิหารตั้งอยู่นอกเมืองแต่ไม่ไกลกำแพงเมือง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลายครั้ง
ดังที่บันทึกไว้ในพงศาวดารตามลำดับ ดังนี้
ดังที่มีบันทึกไว้ในเอกสารต่างๆ
ครั้งที่ ๑
ในเหตุการณ์สงครามกับพม่าคราวสมเด็จพระสุริโยทัยขาดคอช้าง
เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑ - ๒๑๑๑)
เสด็จขึ้นครองราชย์ได้ ๖ เดือน
ก็ได้ข่าวพม่ายกทัพเข้ามา
จึงโปรดให้แต่งกองทัพไปตั้งขัตตาทัพที่สุพรรณบุรี แต่ทานกำลังข้าศึกไม่ไหว ต้องถอยหนีกลับพระนคร ทัพพม่ายกตามเข้ามาถึงชานพระนครทางทุ่งลุมพลี
ด้านเหนือ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิยกพลออกไปตรวจดูกำลังข้าศึก โดยมีพระอัครมเหสี คือ สมเด็จพระสุริโยทัย และพระราชโอรส ๒ พระองค์
ตามเสด็จออกไปด้วย
กองทัพของทั้งสองฝายได้ปะทะกัน
สมเด็จพระสุริโยทัยถูกฟันสิ้นพระชนม์บนคอช้าง๑ หลังจากนั้นทัพพม่าก็ยกเข้ามาถึงพระนคร พงศาวดารเล่าว่า
พระเจ้ากรุงหงสาวดีเสด็จยืนช้างบัญชาการรบอยู่ที่วัดสามวิหาร ความว่า …”สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีเสด็จพระที่นั่งกระโจมทอง ยกพลกองหลวง
ออกจากค่าย
ข้ามโพธิ์สามต้นมาตามทุ่งเพนียด
เสด็จยืนช้างอยู่ ณ วัดสามพิหาร
ตรัสให้พระมหาอุปราชต้อนพลเข้าหักพระนคร…”๒
แต่กองทัพไทยระดมยิงปืนใหญ่จนต้องยกทัพกลับค่าย และเมื่อตั้งค่ายอยู่นานขาดเสบียงอาหาร จึงล่าทัพกลับไปทางเหนือ
ครั้งที่สอง ในเหตุการณ์สงครามกับเขมร สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ. ๒๑๑๒ -
๒๑๓๓)
พระยาละแวกยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระมหาธรรมราชา
ให้จัดพลทหารประจำการป้องกันพระนคร
พระยาละแวกยกทัพเข้ามาปล้นพระนคร
ดังที่กล่าวถึงในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า ..“พระยาละแวกยกพลเข้ามายืนช้างในวัดสามพิหาร
และพลข้าศึกรายกันมาถึงวัดโรงฆ้องและวัดกุฎีทอง..สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปยืนพระราชยาน และให้พลทหารขึ้นรบพุ่ง ข้าศึกก็พ่ายออกไปจึงตรัสให้ยิงปืนจ่ารงเอาช้างข้าศึกซึ่งยืนอยู่ในวัดสามพิหาร นั้นต้องพระจำปาธิราช ซึ่งเป็นกองหน้าตายกับคอช้าง..”
[1] ทัพพระยาละแวกยกเข้าปล้นถึงสามครั้งแต่ไม่สำเร็จจึงล่าทัพกลับ
ครั้งที่สาม ในเหตุการณ์สงครามกับพม่า พระเจ้าอลองพญายกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาใน
พ.ศ. ๒๓๐๒ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
(พ.ศ. ๒๓๐๑ - ๒๓๑๐)
ฝ่ายไทยส่งทัพจีนไปรบแต่ถูกตีแตกพ่าย
“..พม่าก็ยกกองทัพตามเข้ามาตั้งค่าย
ณ เพนียดและวัดพระเจดีย์แดง
วัดสามพิหาร
ให้ทำบันไดไว้เป็นอันมากสำหรับจะพาดกำแพงปล้นเอาเมือง..” จากนั้นไทยก็ไมได้ยกกองทัพออกไปรบอีก เป็นแต่ให้รักษาพระนครให้มั่นไว้ ฝ่ายพม่าได้นำปืนใหญ่มาตั้งในวัดต่างๆ
ที่อยู่ริมคูเมืองทิศตะวันตก และทิศเหนือ ยิงเข้าไปในพระนคร กระสุนปืนใหญ่ถูกยอดปราสาทพระที่นั่งสุริยามรินทร์ทำลายลง แต่พระเจ้าอลองพญาประชวร เนื่องจากปืนใหญ่แตกต้องพระกาย พม่าจึงต้องเลิกทัพกลับไป และพระเจ้าอลองพญาสิ้นพระชนม์ระหว่างทาง
ครั้งที่สี่ คราวสงครามเสียกรุงครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐
ในช่วงปลายๆ สงคราม
เนเมียวแม่ทัพพม่าค่ายโพธิ์สามต้นยกทัพเข้ามาตีค่ายไทยที่ออกไปตั้งป้องกันพระนครอยู่ทางด้านเหนือแตกกลับเข้ากรุงหมดทุกค่าย แล้วยกมาตั้งค่ายประชิดพระนครข้างด้านเหนือ ที่วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป
วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม
วัดศรีโพธิ์
ให้ปลูกหอรบเอาปืนใหญ่น้อยขึ้นยิงเข้ามาในกรุงทุกๆ ค่าย
ต่อมาเมื่อเห็นว่าไทยอ่อนกำลังลงมากก็ให้นายทัพนายกองค่ายวัดสามพิหาร วัดพระเจดีย์แดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น